ผู้ชมทั้งหมด 867
ไทยออยล์ประเมินแนวโน้มสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบสัปดาห์นี้ (6 -10 ก.ย. 64) ยังทรงตัว หลังกลุ่มโอเปกพลัสคงนโยบายการเพิ่มกำลังการผลิตเดิมท่ามกลางความกังวลอุปทานน้ำมันดิบสหรัฐฯ ตึงตัวจากเหตุพายุไอดาถล่ม
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP โดยทีมนักวิเคราะห์ได้ประเมินแนวโน้มสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบสัปดาห์นี้ (6 -10 ก.ย. 64) ยังคงทรงตัวในระดับสูง คาดราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสในสัปดาห์นี้จะเคลื่อนไหวที่กรอบ 68-73 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันดิบเบรนท์เคลื่อนไหวที่กรอบ 70-75 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล
สำหรับปัจจัยสำคัญที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ราคาน้ำมันในสัปดาห์นี้ คือ การประชุมของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันดิบและพันธมิตร (โอเปกพลัส) ในวันที่ 1 ก.ย. 64 ได้ข้อสรุปตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ที่จะคงนโยบายเดิมในการปรับเพิ่มกำลังการผลิตอย่างค่อยเป็นค่อยไป ทั้งนี้ กลุ่มโอเปกพลัสจะปรับเพิ่มกำลังการผลิตเพียง 4 แสนบาร์เรลต่อวันในเดือน ต.ค. 64 แม้ว่าสหรัฐฯ จะเสนอให้ทางกลุ่มเพิ่มกำลังการผลิตขึ้นจากเดิม เพื่อรักษาสมดุลตลาดน้ำมันดิบ โดยการประชุมกลุ่มโอเปกพลัสครั้งถัดไปจะจัดขึ้นในวันที่ 4 ต.ค. 64 เพื่อพิจารณานโยบายการเพิ่มกำลังการผลิตของเดือน พ.ย. 64
ขณะเดียวกันก็ต้องจับตาปัจจัยของพายุเฮอริเคนไอดา เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาพายุเฮอริเคนไอดาเข้าพัดถล่มอ่าวเม็กซิโก สหรัฐฯ ซึ่งเป็นหนึ่งในพายุที่รุนแรง นับตั้งแต่พายุเฮอริเคนแคทรีนา ทำให้บริษัทขุดเจาะน้ำมันดิบหลายแห่งในอ่าวเม็กซิโก ต้องหยุดดำเนินการผลิตราว 94% ของกำลังการผลิตในอ่าวเม็กซิโก หรือราว 1.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน
โดยแท่นขุดเจาะน้ำมันดิบอาจจะกลับมาดำเนินการผลิตได้ภายในสัปดาห์หน้า นอกจากนั้นโรงกลั่นน้ำมันในบริเวณดังกล่าวราว 27% ของกำลังการกลั่นในอ่าวเม็กซิโก หรือราว 2.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน ต้องหยุดดำเนินการผลิตเช่นกัน ทั้งนี้โรงกลั่นน้ำมันอาจจะกลับมาดำเนินการผลิตได้ช้ากว่า เพราะระบบไฟฟ้าและน้ำอาจกลับมาดำเนินการช้ากว่าที่คาด อย่างไรก็ตาม ในช่วงปลายสัปดาห์พายุเฮอริเคนไอดา ได้ลดระดับความรุนแรงลงเป็นพายุโซนร้อนแล้ว
นอกจากนี้ราคาน้ำมันดิบยังได้รับแรงหนุนจากการอ่อนตัวของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ หลังนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) กล่าวว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังฟื้นตัวและมาถึงจุดที่ไม่จำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากนโยบายการเงินมากเท่าเดิม รวมถึงมีแผนที่จะปรับลดมาตรการ QE ในช่วงปลายปี ซึ่งช้ากว่าที่ตลาดคาดการณ์ โดยค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่อ่อนตัวส่งผลให้นักลงทุนที่ถือเงินในสกุลเงินอื่นสนใจลงทุนในสัญญาน้ำมันดิบมากขึ้น
ขณะที่สำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐฯ (EIA) รายงานปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯประจำสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 27 ส.ค. 64 ปรับลดลง 7.2 ล้านบาร์เรล แตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน ก.ย. 62 ลดลงมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ว่าจะปรับลดลงราว 3.1 ล้านบาร์เรล นอกจากนี้กำลังการผลิตโรงกลั่นสหรัฐฯ ปรับลดลง 134,000 บาร์เรลต่อวัน หรือลดลงราว 1.1% หลังได้รับผลกระทบจากพายุไอดา ที่ทำให้แท่นขุดเจาะน้ำมันดิบ และโรงกลั่นน้ำมันดิบ ต้องหยุดดำเนินการ
ส่วนสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทั่วโลกยังคงเพิ่มสูงขึ้น โดยจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ทั่วโลกยังคงอยู่ในระดับสูงกว่า 5 แสนคนต่อวัน ทั้งจากสหรัฐฯ อังกฤษ รัสเซีย และกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อาทิเช่น อินโดนีเซีย มาเลเซีย และเวียดนาม ทำให้หลายประเทศยังคงบังคับใช้มาตรการจำกัดการเดินทาง และส่งผลกดดันต่อความต้องการใช้น้ำมันและเศรษฐกิจ
ทั้งนี้การฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ทั่วโลกเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องแตะระดับมากกว่า 35% ใน 182 ประเทศ โดย Bloomberg คาดการณ์ว่าจะใช้เวลาราว 5 เดือนนับจากนี้ ที่จะทำให้ปริมาณการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ทั่วโลกอยู่ที่ระดับ 75% ของประชากรโลก จนเกิดภูมิคุ้มกันหมู่
สำหรับเศรษฐกิจที่น่าติดตามในสัปดาห์นี้ ได้แก่ จีดีพีสหราชอาณาจักรในไตรมาส 2/64 ดัชนีผู้บริโภคจีนและสหรัฐฯ เดือน ส.ค. 64 การตัดสินใจอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางยุโรป