เทคโนโลยี CCS ความหวังประเทศไทย พิชิตเป้าหมาย Net Zero Emissions 2065

ผู้ชมทั้งหมด 34 

หลายคนน่าจะเคยสงสัยกับคำว่า“Net Zero Emissions”หรือการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ เป็นสิ่งที่ทำได้จริงหรือเปล่า หลายประเทศทั่วโลกให้คำมั่นสัญญาที่จะพิชิตเป้าหมายนี้ด้วยช่วงเวลาที่แตกต่างกันตามความพร้อม โดยประเทศไทยตั้งเป้าหมายเอาไว้ที่ปี 2065 หรืออีก 41 ปีจากนี้ ขณะที่ประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอย่างอเมริกาตั้งเป้าไว้ที่ปี 2050 ส่วนประเทศจีนตั้งเป้าไว้ที่ปี 2060

สิ่งที่นำมาซึ่งความสงสัยก็คือในเมื่อผู้คนบนโลกยังคงบริโภคอย่างไม่หยุดยั้ง และก๊าซเรือนกระจกยังคงถูกปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศโลกมากกว่า 50,000 ล้านตันต่อปี จะมีทางไหนที่ทำให้กลายเป็นศูนย์ไปได้ ยิ่งถ้าวัดกันจริง ๆ ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมา เปิดสวิตช์ไฟ อาบน้ำ ขับรถไปทำงาน เปิดโน้ตบุ๊ก ทานอาหาร แทบทุกกิจกรรมเราต้องปล่อยก๊าซเรือนกระจกนี่ยังไม่รวมถึงโรงงานที่ผลิตสินค้าและอุปกรณ์ต่าง ๆ ตลอดจนการคมนาคม ซึ่งมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งสิ้น

แน่นอนว่า ไม่มีทางที่อยู่ดี ๆ ก๊าซเรือนกระจก 50,000 ล้านตันต่อปีจะหายไปง่าย ๆ แต่หากเราขับเคลื่อนถูกที่ คลายปมถูกจุด Net Zero ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้

สิ่งที่ทุกประเทศทั่วโลกมุ่งก็คือ การทำให้ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ถูกปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศโลกลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ด้วยการเปลี่ยนผ่านระบบเศรษฐกิจสู่สังคมคาร์บอนต่ำอย่างเต็มรูปแบบให้ได้โดยเร็วที่สุด ซึ่งหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญที่จะทำให้ปริมาณก๊าซเรือนกระจกสามารถลดลงได้อย่างมีนัยสำคัญก็คือ การดักจับ คาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) เนื่องจากก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากประชากรโลก 80% คือคาร์บอนไดออกไซด์เป็นหลัก ในที่นี้เราจะกล่าวถึงเทคโนโลยีที่ถูกยกให้เป็นความหวังของโลกในขณะนี้ นั่นก็คือ เทคโนโลยีการดักจับและกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Capture and Storage) หรือ CCS

CCS เป็นเทคโนโลยีการดักจับและนำคาร์บอนลงไปเก็บไว้ที่ชั้นหินใต้ดิน ประกอบด้วย 3 ขั้นตอน คือ (1) ดักจับคาร์บอนจากภาคอุตสาหกรรมหรือชั้นบรรยากาศ (2) ปรับความดันให้เหมาะสมสำหรับการขนส่งผ่านทางท่อส่ง ทางเรือ หรือรถบรรทุก (3) นำไปกักเก็บอย่างถาวรในชั้นหินใต้ดินที่มีโครงสร้าง คุณสมบัติ และความลึกเหมาะสม ซึ่งอาจอยู่บนบกหรือนอกชายฝั่งทะเล โดยไม่มีการปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศ ขณะเดียวกันก็ไม่สร้างมลภาวะแก่บริเวณข้างเคียงและในท้องทะเลด้วย

การกักเก็บคาร์บอน จะพิจารณาบริเวณที่มีปัจจัยต่าง ๆ ทั้งในแง่ของการประเมินความจุของชั้นหินกักเก็บ การประเมินประสิทธิภาพในการกักเก็บของสภาพแวดล้อมทางธรณีวิทยาใต้ดิน การประเมินความสามารถในการอัดคาร์บอนลงในชั้นหิน และยังมีขั้นตอนการติดตามคาร์บอนที่ถูกอัดกลับไปแล้วเพื่อความปลอดภัยด้วย

การนำคาร์บอนไปกักเก็บ ไม่ได้อัดลงไปในครั้งเดียว แต่จะทยอยนำลงไปกักเก็บในอัตราที่เหมาะสม เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีการรั่วไหล และจะไม่มีผลกระทบตามมา เมื่ออัดคาร์บอนลงไปแล้ว ยังมีการติดตามสถานะของคาร์บอนด้วยว่ามีการเปลี่ยนแปลงหรือเคลื่อนที่หรือไม่ อย่างไร

ส่วนคำถามว่าทำไมต้อง CCS ? เปรียบเทียบง่าย ๆ ประเทศไทยมีพื้นที่ประมาณ 320 ล้านไร่ มีการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ประมาณ 320 ล้านตันต่อปี การจะลดคาร์บอนไดออกไซด์ให้ได้ในปริมาณมาก ถ้าพิจารณาจาก (1) การปลูกป่า ซึ่งการปลูกป่า 1 ล้านไร่ จะช่วยดูดซับคาร์บอนได้ประมาณ 2 ล้านตันต่อปี แต่หากจะปลูกป่าเพียงอย่างเดียวเพื่อลดคาร์บอนให้ได้ 320 ล้านตัน นั่นหมายถึงจะต้องทำให้พื้นที่ 50% ของประเทศไทยกลายเป็นป่า จึงแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะอาศัยวิธีนี้โดยลำพัง (2) การใช้รถไฟฟ้า ประเมินว่าจะช่วยลดปริมาณคาร์บอนได้ประมาณ 30–40 ล้านตันต่อปี ก็จะยังคงเหลือคาร์บอนจำนวนมากที่ต้องจัดการ ซึ่งหากมีการใช้ (3) เทคโนโลยี CCS ก็จะช่วยลดคาร์บอนได้อีก 40 ล้านตันต่อปีภายในปี 2050 และเพิ่มเป็น 60 ล้านตันต่อปีภายในปี 2065 แนวทางผสมผสานของการลดคาร์บอนไดออกไซด์ โดยมี CCS เป็นเครื่องมือหลัก ร่วมกับการใช้รถไฟฟ้า การลงทุนของภาคอุตสาหกรรมในการพัฒนากระบวนการผลิตเพื่อลดการปล่อยคาร์บอน และหัก‍ลบคาร์บอนส่วนที่เหลือด้วยการปลูกป่า จึงเป็นแนวทางที่เป็นไปได้จริง โดยเชื่อว่าจะขับเคลื่อนให้ประเทศไทยสามารถพิชิตเป้าหมาย Net Zero Emissions ในปี 2065 ได้สำเร็จ

จากข้อมูลของ Global CCS Institute พบว่ามีการพัฒนาโครงการ CCS ทั้งในเชิงพาณิชย์และโครงการนำร่องรวมแล้วเกือบ 800 โครงการทั่วโลก เช่น นอร์เวย์ อเมริกา ญี่ปุ่น และยังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในภูมิภาคอเมริกาเหนือ ยุโรป และเอเชียแปซิฟิก

CCS โครงการแรกของโลกที่เปิดโอกาสให้อุตสาหกรรมสามารถขนส่งคาร์บอนและนำไปกักเก็บ เกิดขึ้นที่ประเทศนอร์เวย์ ชื่อว่า “Northern Lights” ซึ่งบริษัทพลังงานระดับโลกอย่าง Equinor, Shell และ TotalEnergies ทำร่วมกัน โดยได้รับการสนับสนุนช่วงแรกจากรัฐบาลนอร์เวย์ มีเป้าหมายการดักจับและกักเก็บคาร์บอนในช่วงแรกประมาณ 1.5 ล้านตันต่อปี เท่ากับการปลูกป่าหลายแสนไปจนถึงล้านไร่เลยทีเดียว เน้นเก็บคาร์บอนจากอุตสาหกรรมซีเมนต์ และอุตสาหกรรมหนักอื่นที่หลีกเลี่ยงการปลดปล่อยคาร์บอนไม่ได้

สำหรับประเทศไทย เทคโนโลยี CCS ไม่ใช่เรื่องไกลตัว เพราะบริษัทไทยอย่าง ปตท.สผ. กำลังศึกษาการประยุกต์ใช้ CCS ในอ่าวไทยที่แหล่งก๊าซฯ อาทิตย์ เรียกว่าเป็นโครงการนำร่อง ประเมินว่าจะสามารถกักเก็บคาร์บอนได้ในปริมาณ 1 ล้านตันต่อปี คาดว่าภายในปีนี้จะมีความชัดเจนมากขึ้น แต่จะเริ่มกักเก็บคาร์บอนได้จริง ยังต้องใช้เวลาในการพัฒนาอีกราว 3 ปี

เทคโนโลยี CCS เป็นเหมือนการย้อนกลับของกระบวนการสำรวจและผลิตปิโตรเลียม ที่นำคาร์บอน ซึ่งเป็นสารพลอยได้จากการใช้พลังงานฟอสซิล ส่งกลับคืนไปยังชั้นหินใต้ดินที่เคยนำพลังงานฟอสซิลขึ้นมา หรือนำไปเก็บในชั้นหินอื่น ๆ ที่มีความเหมาะสมก็ได้