ผู้ชมทั้งหมด 93
“อนุทิน” ยึดมติ สมช. ตัดกระแสไฟฟ้า 5 จุด ชายแดนไทย-เมียนมา สกัดแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ตั้งแต่เวลา 09.00 น. ของวันนี้ ( 5 ก.พ.2568) หลังพบเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ ชี้ กระทบรายได้ PEA ไม่ถึง 1%
สืบเนื่องจากที่ประชุมสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) เมื่อวันที่ 4 ก.พ.2568 ได้พิจารณาเรื่องการตัดไฟในพื้นที่ชายแดนไทย – เมียนมา เพื่อสกัดขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติ และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยที่ประชุมมีมติให้ตัดไฟ ตัดอินเตอร์เน็ต ตัดน้ำมัน ตั้งแต่เวลา 09.00 น. ของวันที่ 5 ก.พ.2568 เป็นต้นไป
โดยจะดำเนินการตัดตัดกระแสไฟฟ้าทั้ง 5 จุด ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เกี่ยวพันกับแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ และจากการรวบรวมข้อมูล พบว่า สร้างผลกระทบต่อความมั่นคงประเทศ มีประชาชนเดือดร้อน 557,500 กว่าคดี รวมเงิน 86,000 กว่าล้านบาท แต่ละวันมีความเสียหาย 80 ล้านบาท ถือว่าเรื่องนี้เป็นความทุกข์ของประเทศและประชาชนที่เผชิญอยู่เป็นเรื่องที่ต้องดูแล
วันนี้( 5 ก.พ.2568) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เดินทางมายังศูนย์ปฎิบัติการระบบไฟฟ้า สำนักงานใหญ่ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค(PEA) เพื่อดูแลความเรียบร้อยพร้อมดำเนินการปลดรีโมทงดจ่ายกระแสไฟฟ้า 5 จุดในสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา มีผลตั้งแต่เวลา 09.00 น. เป็นต้นไปของวันนี้( 5 ก.พ.2568) โดยมีนายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ประธานกรรมการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และนายศุภชัย เอกอุ่น ผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ร่วมเป็นสักชีพยาน
โดยการงดจำหน่ายไฟฟ้าที่จ่ายให้กับสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา จำนวน 5 จุดซื้อขายไฟฟ้า ประกอบด้วย
1) จุดซื้อขายไฟฟ้าบริเวณริมฝั่งแม่น้ำแม่สาย เขตแดนประเทศไทยฝั่งประเทศไทย อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ถึงเมืองท่าขี้เหล็ก รัฐฉาน สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียมา
2) จุดซื้อขายไฟฟ้าบริเวณบ้านเหมืองแดง อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย ถึงเมืองท่าขี้เหล็ก รัฐฉาน สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา
3)จุดซื้อขายไฟฟ้าบริเวณบ้านห้วยม่วง อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ประเทศไทย ถึงเมืองเมียวดี รัฐกะเหรี่ยง สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา
4) จุดซื้อขายไฟฟ้าบริเวณสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 2 อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ประเทศไทย ถึงเมืองเมียวดี รัฐกะเหรี่ยง สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา
5)จุดซื้อขายไฟฟ้าบริเวณพรมแดนบ้านพระเจดีย์สามองค์ อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี ถึงเมืองพญาตองซู รัฐมอญ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา
ทั้งนี้ PEA แจ้งกรมเอเชียตะวันออก กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานความมั่นคงในประเทศเพื่อทราบการงดจำหน่ายไฟฟ้าดังกล่าวและขอความอนุเคราะห์ประสานสถานทูตสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา รวมทั้งหน่วยงานรัฐในพื้นที่ของสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมืยนมา ณ จุดซื้อขายไฟฟ้า
นายอนุทิน กล่าว่า การตัดกระแสไฟฟ้าดังกล่าวเป็นการดำเนินการตามมติ สมช. ซึ่งก่อนหน้านี้ทาง PEA ไม่สามารถดำเนินการงดจ่ายไฟฟ้าได้ เพราะอยู่นอกเหนืออำนาจ แต่เมื่อมีหนังสือจากภาครัฐส่งมายังกระทรวงมหาดไทย ก็สามารถดำเนินการได้ทันที
“การตัดไฟครั้งนี้ ยึดมติ สมช.เป็นหลัก แล้วค่อยมาดูเรื่องสัญญาซื้อขายไฟฟ้า ว่าเข้าเงื่อนไขการยุติจ่ายไฟหรือไหม ต่อให้ไม่เข้าเงื่อนไข แต่ถ้าสมช.สั่งมาเราก็ตัด เพราะเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ และขอยืนยันว่า เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องการเมือง แต่เป็นเรื่องความมั่นคง และไม่ใช่ประโยชน์ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง”
โดยการตัดทั้ง 5 จุด คิดเป็นกระแสไฟฟ้ารวมประมาณ 20 เมกะวัตต์ คิดเป็นรายได้ของPEA ประมาณ 50 ล้านบาทต่อเดือน หรือ ราว 600 ล้านบาทต่อปี ซึ่งรายได้ส่วนนี้ คิดเป็นกำไรไม่ถึง 1% จากยอดขายไฟฟ้าของPEA ปีละประมาณ 6 แสนล้านบาท
ทั้งนี้ หากพบว่า พื้นที่ชายแดนติดกับประเทศอื่นที่มีลักษณะการนำกระแสไฟฟ้าไปใช้ผิดกฎหมายเหมือนเช่นเมียนมา ทางPEA ก็พร้อมดำเนินการตัดกระแสไฟฟ้าทันที หากมีหนังสือสั่งการตามมติสมช.เช่นเดียวกับกรณีของเมียนมา
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะมีการตัดกระแสไฟฟ้าทั้ง 5 จุด ได้มีการแจ้งเตือนในสถานประกอบการ เช่น โรงพยาบาลในพื้นที่ถูกตัดไฟ ให้เตรียมความพร้อมเพื่อดูแลผู้ป่วยแล้ว ซึ่งหลังจากดำเนินการตัดกระแสไฟฟ้าทั้ง 5 จุด พบว่าสถานการณ์ยังเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ส่วนผู้ที่ใช้ไฟผิดกฎหมายจะหันไปใช้ไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์หรือเครื่องปั่นไฟ เพื่อดำเนินการกระทำเรื่องที่เสี่ยงต่อความมั่นคงต่อไปนั้น ถือว่าอยู่นอกเหนือการควบคุมของกระทรวงมหาดไทยแล้ว
ส่วนในอนาคตหากทางเมียนมาต้องการซื้อไฟฟ้าจากประเทศไทยนั้น ก็สามารถดำเนินการได้ แต่จะต้องเริ่มต้นกระบวนการเจรจาซื้อขายไฟฟ้ากันใหม่ และคงจะต้องมีการกำหนดเงื่อนไขการซื้อไฟฟ้าในอนาคตให้รัดกุมมากขึ้น เพื่อความมั่นคงระหว่างสองประเทศ