ผู้ชมทั้งหมด 937
ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจากการปะทะกันระหว่างรัสเซียกับยูเครนที่ยังไม่มีแนวโน้มยุติ เนื่องจากการเจรจาไม่ประสบผลสำเร็จ ขณะที่นานาชาติยกระดับมาตรการคว่ำบาตรต่อรัสเซีย เพื่อกดดันให้รัสเซียยกเลิกและถอนกำลังทหารออกจากยูเครน ซึ่งล่าสุดสหรัฐอเมริกาประกาศสั่งห้ามการนำเข้าน้ำมัน และก๊าซธรรมชาติจากรัสเซีย ด้านอังกฤษก็ได้ออกมาประกาศว่าจะยกเลิกการนำเข้าน้ำมันจากรัสเซียภายในสิ้นปี 2565 จากการคว่ำบาตรการนำเข้าน้ำมันจากรัสเซีย นักวิเคราะห์หลายสำนักมองว่าราคามีโอกาสพุ่งสูงขึ้ถึงระดับ 180-200 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล
อย่างไรก็ตามล่าสุดวันนี้ (10 มี.ค. 65) เคลื่อนไหวที่ระดับ 108-113 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ขณะที่นักวิเคราะห์ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) คาดการณ์ว่าในสัปดาห์นี้ราคาน้ำมันดิบ เวสต์เท็กซัส จะเคลื่อนไหวในกรอบ 114-119 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ส่วนเบรนท์เคลื่อนไหวที่กรอบ 117-122 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล
ทั้งนี้จากที่ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องนั้นส่งผลให้ราคาขายปลีกในประเทศก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาต่อเนื่องเช่นกัน สำหรับราคาน้ำมันขายปลีกล่าสุดในวันนี้ (10 มี.ค. 65) ราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 อยู่ที่ 39.08 บาทต่อลิตร แก๊สโซฮอล์ 95 อยู่ที่ 39.35 บาทต่อลิตร เบนซิน อยู่ที่ 46.76 บาทต่อลิตร E20 ราคาอยู่ที่ 38.24 บาทต่อลิตร E 85 ราคาอยู่ที่ 31.54 บาทต่อลิตร ราคาน้ำมันดีเซล B7 อยู่ที่ 29.94 บาทต่อลิตร ส่วนราคาดีเซลพรีเมี่ยมที่ไม่ตรึงราคาอยู่ที่ 35.96 บาทต่อลิตร แน่นอนว่าราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นย่อมส่งผลกระทบต่อประชาชน
“รัฐเดินหน้าตรึงราคาน้ำมันดีเซล”
การประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 9 มี.ค. 2565 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ประกาศตรึงราคาน้ำมันดีเซลไม่เกิน 30 บาทต่อลิตรไปจนกว่าจะไม่สามารถตรึงราคาได้ นั้นหมายความว่าไม่มีการกำหนดกรอบระยะเวลาที่ชัดเจน โดยการประชุม กพช.ได้อนุมัติให้กระทรวงพลังงานปลดล็อคเพดานการกู้เงิน เดิมกำหนดให้กู้ไม่เกิน 40,000 ล้านบาท เพื่อความยืดหยุ่นในการบริหารจัดการในตรึงราคาน้ำมันดีเซล และยังได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหามาตรการดูแลผู้ใช้น้ำมันเบนซินในเฉพาะกลุ่มด้วย
“รัฐควรตรึงราคาน้ำมันดีเซลเฉพาะกลุ่ม”
อย่างไรก็ตามจากนโยบายการตรึงราคาน้ำมันดีเซลของรัฐบาลนั้น แหล่งข่าวจากวงการพลังงาน ระบุว่า ควรที่จะออกแบบมาตรการใหม่ โดยช่วยเหลือเฉพาะกลุ่มผู้ใช้รถบรรทุก หรือกลุ่มเกษตรกร ซึ่งอาจจะออกเป็นบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือช่วยเหลือเฉพาะกลุ่มเหมือนกับการตรึงราคา LPG และ NGV ที่ช่วยเหลือเฉพาะกลุ่ม แต่ในปัจจุบันการตรึงราคาน้ำมันดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตรนั้นไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อกลุ่มผู้ใช้รถบรรทุกอย่างเดียว แต่ยังเกิดประโยชน์กับกลุ่มผู้ใช้รถยนต์ส่วนบุคคลหรือรถปิกอัพ 6.6 ล้านคัน และรถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน ที่รวมรถหรูราคาแพงอย่างเบนซ์ บีเอ็มดับเบิ้ลยู อยู่ด้วย 3.2 ล้านคัน ซึ่งกลุ่มนี้ได้อานิสงส์จากการเติมดีเซลในราคา 29.94 บาทต่อลิตร
ขณะที่กลุ่มผู้ใช้น้ำมันเบนซินรถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คนนั้นมีจำนวนตามที่จดทะเบียนสะสมที่กรมการขนส่งทางบก จนถึงวันที่ 31 ม.ค. 2565 อยู่ที่ประมาณ 6.7 ล้านคัน รถมอเตอร์ไซค์ส่วนบุคคลนั้นมีจำนวน 21.7 ล้านคัน ส่วนรถมอเตอร์ไซค์สาธารณะ หรือมอเตอร์ไซค์รับจ้างนั้นมีจำนวน 1.56 แสนคัน ทั้งหมดเติมน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 และ 95 ซึ่งต้องใช้น้ำมันราคาแพงกว่ากลุ่มผู้ใช้รถหรูเติมดีเซลถึง 8.14 บาทต่อลิตร ต้องแบกรับภาระแทนกลุ่มผู้ใช้รถหรูที่เติมน้ำมันดีเซล ซึ่งเมื่อราคาน้ำมันปรับตัวแพงขึ้นเท่าไหร่ และมีการตรึงราคาน้ำมันดีเซลไว้ ผู้ใช้มอเตอร์ไซค์ยิ่งต้องใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91และ 95 แพงกว่าคนขับรถหรูที่ใช้ ดีเซล B7 มากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นถ้าจะให้เกิดความเป็นธรรมรัฐก็ควรจะต้องปรับมาตรการในการช่วยเหลือหรือการตรึงราคาน้ำมันดีเซลใหม่ หรืออาจจะต้องมีมาตรการช่วยเหลือกลุ่มผู้ใช้น้ำมันเบนซินด้วยเช่นกัน