ผู้ชมทั้งหมด 381
สนพ. เผยราคาน้ำมันดิบตลาดโลกเดือน ก.พ. 67 ปรับตัวเพิ่มขึ้น เหตุจากสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลาง ลั่นเกาะติดสถานการณ์ใกล้ชิด เตรียมบริหารจัดการราคาขายปลีกในประเทศเป็นธรรม
นายวีรพัฒน์ เกียรติเฟื่องฟู ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เปิดเผยว่า สนพ. ได้ติดตามสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลกในเดือนกุมภาพันธ์ 2567 พบว่า เดือนกุมภาพันธ์ 2567 ราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนมกราคมที่ผ่านมา โดยมีสาเหตุมาจากหลายปัจจัย อาทิ สถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลางยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อตลาดน้ำมัน รวมทั้งรายงานฉบับล่าสุดขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ปรับเพิ่มคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจโลกในปี 2567 ขึ้นจากระดับร้อยละ 2.7 มาอยู่ที่ระดับร้อยละ 2.9 หลัง OECD คาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาในปีนี้มีแนวโน้มเติบโตสูงขึ้น ส่งผลให้ OECD คาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) มีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2567
อีกทั้งตลาดน้ำมันดิบได้รับแรงหนุนหลังจากโรงกลั่นสหรัฐฯ มีแผนเปิดดำเนินการผลิตอีกครั้ง หลังจากต้องปิดโรงกลั่นอย่างกระทันหันในช่วงปลายเดือนที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามตลาดยังคงกังวลเกี่ยวกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์ว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศจีนจะชะลอตัวลงเหลือร้อยละ 4.6 ในปี 2567 และลดลงอีกในระยะกลางประมาณร้อยละ 3.5 ในปี 2571 นอกจากนี้โรงกลั่นน้ำมันของบริษัทบีพีในรัฐอินเดียนา ของสหรัฐฯ ประสบปัญหาไฟฟ้าขัดข้อง และกำลังทำการปิดโรงกลั่นแห่งนี้ชั่วคราว ซึ่งมีกำลังการผลิต 435,000 บาร์เรลต่อวัน
ดังนั้น ปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันที่น่าจับตามองในด้านต่าง ๆ อาทิ สถานการณ์ความขัดแย้งในภูมิภาคตะวันออกกลางต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด ซึ่งอาจส่งผลให้อุปทานน้ำมันดิบ โดยเฉพาะในตะวันออกกลางมีความตึงตัวมากขึ้น นอกจากนี้ นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ได้ขึ้นกล่าวแถลงการณ์รอบครึ่งปีว่าด้วยนโยบายการเงินและภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ ต่อสภาคองเกรสเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (7 มีนาคม) โดยพาวเวลล์ยอมรับว่า Fed อาจต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในระดับสูงกว่าที่เจ้าหน้าที่ FED คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ ซึ่งจำเป็นต้องดำเนินนโยบายทางการเงินที่เข้มงวดผ่านการคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับร้อยละ 5.25 – 5.50 จนกว่าอัตราเงินเฟ้อจะส่งสัญญาณที่ชะลอตัวลงอย่างชัดเจน นอกจากนี้ ความท้าทายจากสถานการณ์ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์โดยเฉพาะบริเวณภูมิภาคตะวันออกกลาง ยังคงเป็นอีกปัจจัยที่หนุนอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับสูงที่อาจจะส่งผลต่อราคาน้ำมันดิบในอนาคตได้
สำหรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินและดีเซลของประเทศไทยและต่างประเทศ ณ วันที่26 กุมภาพันธ์2567 พบว่า ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน ประเทศสิงคโปร์มีระดับสูงสุดในกลุ่มอาเซียน อยู่ที่ระดับ 77.45 บาทต่อลิตร ขณะที่ประเทศไทยอยู่ในอันดับ 6 ของกลุ่มอาเซียน อยู่ที่ระดับ 38.05 บาทต่อลิตร ส่วนราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลนั้น ประเทศสิงคโปร์ มีระดับสูงสุดในกลุ่มอาเซียน อยู่ที่ระดับ 72.36 บาทต่อลิตร ขณะที่ประเทศไทยอยู่ในอันดับ 8 ของกลุ่มอาเซียน อยู่ที่ระดับ 29.94 บาทต่อลิตร อย่างไรก็ตาม ราคาขายปลีกน้ำมันสำเร็จรูปในแต่ละประเทศจะแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับโครงสร้าง มาตรการด้านภาษี และนโยบายการชดเชยราคาน้ำมันของประเทศนั้น
สนพ. ยังได้ติดตามสถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในตลาดโลก (ระหว่างวันที่ 26 กุมภาพันธ์ – 1 มีนาคม 2567) พบว่า ราคาน้ำมันดิบยังคงผันผวน โดยราคาน้ำมันดิบดูไบ เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 81.53 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ปรับตัวลดลงจากสัปดาห์ที่แล้ว 0.69 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ขณะที่น้ำมันดิบเวสต์ เท็กซัส ทรงตัวอยู่ที่ระดับ 78.64 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล สำหรับสถานการณ์ราคากลางน้ำมันสำเร็จรูปตลาดภูมิภาคเอเชีย พบว่า ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 ทรงตัวอยู่ที่ระดับ 100.54 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว (10 PPM) เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 104.01 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ปรับตัวลดลงจากสัปดาห์ที่แล้ว 1.91 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล
เนื่องจากค่าเงินบาทของไทยแข็งค่าขึ้นจากสัปดาห์ที่แล้ว 0.06 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ มาอยู่ที่ระดับเฉลี่ย 36.08 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ทำให้ต้นทุนน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 0.09 บาทต่อลิตร และต้นทุนน้ำมันดีเซลลดลง 0.48 บาทต่อลิตร จึงส่งผลทำให้ค่าการตลาดเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักของน้ำมันกลุ่มเบนซินและน้ำมันดีเซล อยู่ที่ระดับ 2.43 บาท/ลิตร
ทั้งนี้ ฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 10 มีนาคม 2567 กองทุนฯ มีสินทรัพย์รวม 29,709 ล้านบาท หนี้สินกองทุนฯ 124,592 ล้านบาท ฐานะกองทุนฯ สุทธิติดลบ 94,883 ล้านบาท แบ่งเป็นติดลบจากบัญชีน้ำมัน 48,047 ล้านบาท บัญชี LPG 46,836 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม สนพ. จะติดตามสถานการณ์ราคาพลังงานอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ราคาสะท้อนกับสถานการณ์ปัจจุบันและเป็นธรรมกับทุกภาคส่วน