สนพ. คาด “เศรษฐกิจ-ท่องเที่ยวฟื้น” หนุนการใช้พลังงานปี 68 โต 2.9%

ผู้ชมทั้งหมด 153 

สนพ. คาด ความต้องการใช้พลังงาน ปี 2568 โต 2.9% จากการขยายตัวทางเศรษฐกิจ นักท่องเที่ยวแห่เดินทางเข้าประเทศ ขณะที่ราคาน้ำมันดิบคาดว่า อยู่ที่ 75.0 – 85.0 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล

นายวัฒนพงษ์ คุโรวาท ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เปิดเผยว่าสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เปิดเผยว่า สนพ. ได้จัดทำแนวโน้มความต้องการใช้พลังงานของประเทศปี 2568 โดยใช้สมมติฐานการประมาณการจากข้อมูลแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศ (GDP) ของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ที่ได้คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2568 จะขยายตัวในช่วงร้อยละ 2.3 -3.3 ซึ่งมีปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญจากการขยายตัวของการอุปโภคบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน รวมถึงการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและการบริการที่เกี่ยวเนื่อง และการขยายตัวต่อเนื่องของการส่งออก สำหรับสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบดูไบในปี 2568 คาดว่าอยู่ที่ 75.0 – 85.0 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล

โดย สนพ. คาดการณ์ว่า ภาพรวมความต้องการใช้พลังงานขั้นต้นของปี 2568 อยู่ที่ระดับ 2,105 พันบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.9 เทียบกับช่วงเดียวกันของปี2567 จากสภาวะการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ โดย คาดการณ์การความต้องการใช้พลังงานขั้นต้นรายสาขาดังนี้

น้ำมันและก๊าซธรรมชาติ จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.5 และ 2.8 ตามลำดับ โดยในส่วนของน้ำมันเป็นการเพิ่มขึ้นจากการใช้น้ำมันทุกประเภท โดยเฉพาะการเพิ่มขึ้นของน้ำมันเครื่องบิน เป็นผลมาจากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวทั่วโลก รวมถึงการมีมาตรการดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติของภาครัฐ และ มาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้การใช้น้ำมันชนิดอื่นในภาคขนส่งขยายตัวเพิ่มขึ้นด้วย

ขณะที่ความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.8 เป็นการเพิ่มจากการใช้ก๊าซธรรมชาติในการผลิตไฟฟ้าและการใช้ในภาคอุตสาหกรรม ถ่านหิน คาดว่าจะเพิ่มร้อยละ 2.5 จากการใช้ถ่านหินนำเข้าที่เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะการใช้ในภาคอุตสาหกรรมที่คาดว่าจะมีการใช้เพิ่มขึ้นเพื่อทดแทนลิกไนต์ การใช้ไฟฟ้าพลังน้ำ/ไฟฟ้านำเข้า คาดว่าจะลดลงร้อยละ 2.1 จากความต้องการนำไฟฟ้าเข้าจาก สปป.ลาว ที่คาดว่าจะลดลงเมื่อเทียบกับฐานที่สูงของปี 2567 ขณะที่ไฟฟ้าพลังน้ำในประเทศคาดว่าจะเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 4.1 สอดคล้องกับปริมาณน้ำฝนของปี 2567 ที่สูงกว่าค่าปกติซึ่งส่งผลให้มีปริมาณน้ำสะสมในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่สูงกว่าปี 2567

ส่วนความต้องการใช้น้ำมันสำเร็จรูป ปี 2568 คาดว่า จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.1 จากการเพิ่มขึ้นของการใช้น้ำมันเครื่องบิน ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.1 จากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว ซึ่งส่งผลให้การใช้น้ำมันสำเร็จรูปประเภทอื่นขยายตัวเพิ่มขึ้นตามไปด้วย เช่น การใช้น้ำมันเบนซินและ LPG

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของน้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอล คาดว่าจะมีการใช้เพิ่มขึ้นไม่มากนักโดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.5 เนื่องจากแนวโน้มการเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ไฮบริด การใช้น้ำมันดีเซลคาดว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.6 สอดคล้องกับการขยายตัวของการส่งออกสินค้าและแนวโน้มผลผลิตสินค้าเกษตรที่คาดการณ์ว่าจะมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น การใช้ LPG ในส่วนที่ไม่รวมการใช้เป็น Feed stocks ของอุตสาหกรรมปิโตรเคมี คาดว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.1 ในขณะที่การใช้น้ำมันเตาคาดว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.9 เมื่อเทียบกับฐานที่ต่ำของปี 2567 (ปี 2567 ลดลงร้อยละ -6.5) สอดคล้องกับการขยายตัวของการส่งออกสินค้า

ขณะที่ คาดการณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้าในปี 2568 คาดว่าจะมีการใช้เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.9 สอดรับกับการขยายตัวทางด้านเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม การขยายตัวจะอยู่ในอัตราที่ต่ำกว่าปีที่ผ่านมา เนื่องจากกรมอุตุนิยมวิทยาได้คาดการณ์ว่าอุณหภูมิเฉลี่ยปี 2568 จะต่ำกว่าที่ปีที่ผ่านมา

สำหรับสถานการณ์พลังงาน ปี 2567 โดยการใช้พลังงานเชิงพาณิชย์ขั้นต้นเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.0 เทียบกับปีก่อน ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ที่รายงานว่าเศรษฐกิจของประเทศไทยในปี 2567 ขยายตัวอยู่ที่ร้อยละ 2.5 โดยมีปัจจัยหลักจากการบริโภคของภาคเอกชนและการอุปโภคของรัฐบาลที่ขยายตัว การลงทุนภาครัฐที่ขยายตัวร้อยละ 4.8 ซึ่งแม้ว่าการลงทุนภาคเอกชนจะลดลงร้อยละ 1.6 แต่เศรษฐกิจไทยยังได้รับอานิสงค์จากภาคการท่องเที่ยวที่ขยายตัวดีอย่างต่อเนื่อง จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทยจำนวน 35.55 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 5.4 ล้านคน ซึ่งปัจจัยดังกล่าวส่งผลต่อสถานการณ์พลังงานของประเทศไทยในปี 2567 โดยมี การใช้พลังงานขั้นต้น อยู่ที่ 2,046 พันบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.0 โดยเพิ่มขึ้นเกือบทุกชนิดเชื้อเพลิง ในส่วนของการใช้น้ำมันเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.5 การใช้ก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.2 จากความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น การใช้ถ่านหินเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.9 และการใช้ไฟฟ้าพลังน้ำ/ไฟฟ้านำเข้า เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.3 จากไฟฟ้านำเข้าที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่การใช้ลิกไนต์ลดลงร้อยละ 1.0 จากการใช้ในการผลิตไฟฟ้าที่ลดลง โดยการใช้พลังงานขั้นต้นของเชื้อเพลิงแต่ละประเภท เป็นดังนี้

ด้านน้ำมันสำเร็จรูป มีปริมาณการใช้อยู่ที่ระดับ 140.6 ล้านลิตรต่อวัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.8 โดยปริมาณการใช้น้ำมันดีเซล อยู่ที่ 68.8 ล้านลิตรต่อวัน เพิ่มขึ้นเล็กน้อยที่ร้อยละ 0.05 จากฐานการใช้ที่สูงกว่าปกติในปีก่อน เนื่องจากมีนโยบายให้ใช้น้ำมันดีเซลในโรงไฟฟ้าทดแทนก๊าซธรรมชาติในช่วงต้นปี 2566 ที่ก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) มีราคาสูง ปริมาณการใช้น้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอล อยู่ที่ 31.4 ล้านลิตรต่อวัน เพิ่มขึ้นเล็กน้อยที่ร้อยละ 0.3 ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการขยายตัวของโครงข่ายรถไฟฟ้าและการเพิ่มขึ้นของยานยนต์ไฟฟ้าประเภท BEV การใช้น้ำมันเครื่องบิน อยู่ที่ 16.2 ล้านลิตรต่อวัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 18.7 เนื่องจากความต้องการเดินทางของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเพิ่มสูงขึ้น สำหรับการใช้น้ำมันเตา อยู่ที่ 5.1 ล้านลิตรต่อวัน ปรับตัวลดลงร้อยละ 6.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

LPG โพรเพน และบิวเทน มีปริมาณการใช้อยู่ที่ระดับ 6,777 พันตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้จำแนกเป็นการใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ซึ่งมีสัดส่วนการใช้สูงสุดคิดเป็นร้อยละ 44 มีการใช้เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.0 การใช้ภาคครัวเรือน มีสัดส่วนร้อยละ 31 มีการใช้เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.5 ขณะที่การใช้เป็นเชื้อเพลิงในรถยนต์ สัดส่วนร้อยละ 14 การใช้เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.5 ขณะที่ภาคอุตสาหกรรม มีสัดส่วนร้อยละ 10 มีการใช้ลดลงร้อยละ 6.0 สอดคล้องกับอัตราการใช้กำลังผลิตในภาคอุตสาหกรรมที่ลดลง

ขณะที่ ก๊าซธรรมชาติ มีปริมาณการใช้อยู่ที่ระดับ 4,496 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.2 โดยมาจากการใช้เพื่อผลิตไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.0 ตามความต้องการใช้ไฟฟ้าที่มากขึ้น จากการขยายตัวของเศรษฐกิจในประเทศ และการใช้ในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและอื่น ๆ ที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.8 ในขณะที่การใช้ในภาคอุตสาหกรรม ลดลงร้อยละ 12.7 ตามการผลิตสินค้าในภาคอุตสาหกรรมที่ชะลอตัวลง และการใช้เป็นเชื้อเพลิงในรถยนต์ (NGV) ลดลงร้อยละ 16.3 

ถ่านหิน/ลิกไนต์ มีการใช้รวมทั้งสิ้นอยู่ที่ระดับ 14,672 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.5 โดยการใช้ ถ่านหินนำเข้า เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.2 จากการใช้ที่เพิ่มขึ้นของโรงไฟฟ้า IPP ที่ร้อยละ 37.1 ขณะที่การใช้ในโรงไฟฟ้า SPP ลดลงร้อยละ 38.2 และการใช้ในภาคอุตสาหกรรมลดลงร้อยละ 0.4 สำหรับการใช้ ลิกไนต์ ลดลงร้อยละ 0.8 โดยการใช้ลิกไนต์ทั้งหมดในปี 2567 เป็นการใช้เพื่อผลิตไฟฟ้าของ กฟผ.

ไฟฟ้า ความต้องการพลังไฟฟ้าสูงสุดในระบบ 3 การไฟฟ้า (System Peak) (ไม่รวมผู้ผลิตไฟฟ้าใช้เอง หรือ IPS) ของปี 2567 เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2567 เวลา 22.24 น. อยู่ที่ระดับ 36,792 MW เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.6 เมื่อเทียบกับความต้องการพลังไฟฟ้าสูงสุดในระบบ 3 การไฟฟ้าของปีก่อน

การผลิตไฟฟ้า (ไม่รวมผู้ผลิตไฟฟ้าใช้เอง หรือ IPS) อยู่ที่ 235,500 กิกะวัตต์ชั่วโมง เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.5 โดยการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติมีสัดส่วนสูงสุด ร้อยละ 58 มีปริมาณการผลิตอยู่ที่ 136,373 ล้านหน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.4 สำหรับไฟฟ้านำเข้า/แลกเปลี่ยนเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.7 ส่วนการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินนำเข้า/ลิกไนต์เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.3 การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.1 ขณะที่การผลิตไฟฟ้าจากพลังน้ำและน้ำมันลดลงร้อยละ 2.6 และ 68.9 ตามลำดับ

การใช้ไฟฟ้า (ไม่รวมผู้ผลิตไฟฟ้าใช้เอง หรือ IPS) อยู่ที่ 214,469 ล้านหน่วย (GWh) เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.2 มีผลมาจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจและสภาพอากาศที่ร้อน ส่งผลให้การใช้ไฟฟ้าในภาคธุรกิจ เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.4 ภาคครัวเรือน เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.7 การใช้ไฟฟ้าในภาคอุตสาหกรรม เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.3