ผู้ชมทั้งหมด 454
สกนช.เปิดรับฟังความคิดเห็นการประเมินผลสัมฤทธิ์พระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ.2562 หลังใช้งานกฎหมายครบ 5 ปี เร่งรวบรวมข้อเสนอแนะก่อนเสนอรัฐ ปรับปรุงกฎหมายให้เกิดประสิทธิภาพ สร้างเสถียรภาพราคาพลังงานตามขั้นตอนต่อไป

นายวิศักดิ์ วัฒนศัพท์ ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) กล่าวเปิดการสัมมนารับฟังความคิดเห็นการประเมินผลสัมฤทธิ์พระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ.2562 และกฎหมายลำดับรอง เมื่อวันที่ 9 ส.ค.2567 โดยระบุว่า ปี 2567 เป็นปีที่พระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ.2562 ได้ผ่านการใช้งานมาครบ 5 ปีแล้ว สกนช.จึงต้องดำเนินการให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญฯ มาตรา 77 ที่กำหนดหลักเกณฑ์ในการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมายและตรวจสอบความจำเป็นในการตรากฎหมายตามรัฐธรรมนูญฯ มาตรา 77 เป็นไปตามพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ.2562
ดังนั้น ทาง สกนช. จึงได้ว่าจ้างมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เข้ามาเป็นที่ปรึกษาในการจัดรับฟังความคิดเห็นการประเมินผลสัมฤทธิ์พระราชบัญญัติฯดังกล่าว เพื่อนำไปสู่การปรับปรุงกฎหมายให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดต่อไป


ทั้งนี้ โดยส่วนตัวเห็นว่า หนึ่งในประเด็นสำคัญที่ควรมีการพิจารณาและนำไปสู่การแก้ไขในกฎหมายฉบับปัจจุบัน เช่น มาตรา 26 ในพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ.2562 เรื่องแผนรองรับวิกฤตการณ์ด้านน้ำมันเชื้อเพลิง “วิกฤตการณ์ด้านน้ำมันเชื้อเพลิง” หมายความว่า สถานการณ์ที่ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงมการปรับราคาขึ้นอย่างรวดเร็วหรือผันผวนอาจเกิดผลกระทบต่อการดำรงชีพของประชาชน หรือ สถานการณ์ที่น้ำมันเชื้อเพลิงอาจขาดแคลนและไม่เพียงพอต่อการใช้ภายในประเทศ
โดยตามข้อกฎหมายกำหนดให้กองทุนฯ มีเงินสะสมไม่เกิน 4 หมื่นล้านบาท และกู้ได้ครั้งละไม่เกิน 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งจากสถานการณ์วิกฤตที่ผ่านมา ทั้งจากปัญหาโควิด-19 และสงครามรัสเซีย – ยูเครน ที่ส่งผลให้ราคาน้ำมันปรับสูงขึ้นอย่างมาก จนกองทุนฯมีภาระเข้าไปชดเชยราคาน้ำมันสูงถึง 10 บาทต่อลิตร หรือ ต้องใช้เงินราว 2 หมื่นล้านบาทต่อเดือน ฉะนั้นการกำหนดกรอบเพดานวงเงินดังกล่าว จึงไม่เพียงพอ และนำไปสู่การสร้างภาระการกู้เงินของกองทุนฯ เช่นในปัจจุบัน เป็นต้น

อ.ดร.ภาคภูมิ โลหวริตานนท์ นำเสนอมาตรการสำคัญของพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ.2562 เบื้องต้นพบว่า พระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ.2562 ยังมีปัญหาและอุปสรรคในการบังคับใช้กฎหมาย ดังนี้
1.แผนรองรับวิกฤตการณ์ด้านน้ำมันเชื้อเพลิงที่กำหนดขึ้นอาจไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
2.สถานะของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงซึ่งเป็นทุนหมุนเวียนอาจกระทบต่อความคล่องตัวในการดำเนินงานตามวัตถุประสงค์ของกองทุน
3.กรอบเงินของกองทุนที่กำหนดไว้ในกฎหมายอาจไม่เพียงพอต่อการบริหารจัดการกองทุนอย่างมีประสิทธิภาพ
4.การยื่นคำขอรับเงินคืนจากกองทุนกรณีส่งเงินเข้ากองทุนโดยไม่มีหน้าที่หรือส่งเงินเกินกว่าจำนวนที่มีหน้าที่ต้องส่งต่อสำนักงานก่อน ทำให้อาจเกิดความล่าช้าในการพิจารณาคำขอ
5.การใช้มาตรการลงโทษทางอาญาเป็นเครื่องมือควบคุมกำกับดูแลให้เป็นไปตามกฎหมายในบางเรื่องอาจไม่เหมาะสม

ขณะที่ผู้เข้าร่วมสัมมนาฯครั้งนี้ ประกอบด้วยตัวแทนจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ได้แสดงความคิดเห็นในหลายประเด็นที่น่าสนใจ อาทิ กฎหมายหลายข้อยังไม่มีความชัดเจน ทั้ง นิยามคำว่า วิกฤตการณ์ด้านราคาน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อให้สำหรับรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมัน หรือ เพื่อชดเชยราคาน้ำมัน ควรกำหนดให้ชัดเจน , การที่ประชาชนกลุ่มผู้ใช้น้ำมันเบนซิน ต้องจ่ายเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพื่อบอกว่าเป็นการนำเงินไปใช้รักษาเสถียรภาพราคา แต่ไม่เคยได้ใช้ดูแลราคาขายปลีกเบนซิน แต่กลับต้องภาระชดเชยราคาดีเซล จึงเป็นการสร้างความไม่ยุติธรรมให้กับผู้ใช้เบนซิน ฉะนั้น ควรมีการแยกบัญชีกองทุนน้ำมันสำหรับน้ำมันแต่ละประเภทให้ชัดเจน

รวมถึง ควรมีการกำหนดกรอบเพดานเรียกเก็บเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันแต่ละชนิดให้ชัดเจน เช่นเดียวกับการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตที่ได้กำหนดกรอบเพดานไว้ เพราะปัจจุบัน กลุ่มเบนซิน มีการเรียกเก็บเงินเข้ากองทุนฯสูงถึง 10.78 บาทต่อลิตร
นอกจากนี้ การนำเงินจากกองทุนน้ำมันฯ ไปให้ดูแลราคาเชื้อเพลิงชีวภาพที่มีราคาสูงในปัจจุบัน ยังเป็นการสร้างภาระให้กับกองทุนฯ ซึ่งภาครัฐควรพิจารณาว่า หากต้องการดูแลเกษตรกร ก็ควรหาวิธีอื่น ไม่ใช่ให้ผู้ใช้น้ำมันเข้าไปแบกรับภาระในส่วนนี้ เพราะสถานการณ์ราคาในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปจากอดีตแล้ว เป็นต้น






ทั้งนี้ ทางทีมธรรมศาสตร์ จะรวบรวมข้อเสนอแนะต่างๆ จากการเวทีเปิดรับฟังความคิดเห็นในครั้งนี้ และการรับฟังความคิดเห็นผ่านช่องทางออนไลน์ เพื่อจัดทำเป็นร่างรับฟังความคิดเห็นการประเมินผลสัมฤทธิ์พระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันฯ ส่งให้ สกนช. เพื่อนำเสนอต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และคณะรัฐมนตรี(ครม.) พิจารณาปรับปรุงกฎหมายตามขั้นตอนต่อไป
