ผู้ชมทั้งหมด 3,891
สกนช. ชี้มีแนวโน้วปรับลดราคาน้ำมันดีเซลลง หลังการประชุมเฟดคาดปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.25% พร้อมเล็งกู้เงินเสริมสภาพคล่องอีก 2 หมื่นล้านบาท แม้ฐานะกองทุนน้ำมันจะฟื้นตัว เม.ย. เหลือ 8.5 หมื่นล้าน
นายวิศักดิ์ วัฒนศัพท์ ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) เปิดเผยว่า สกนช. ได้ติดตามสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกอย่างต่อเนื่อง เพื่อทบทวนราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 32.94 บาทต่อลิตร อย่างไรก็ตามการปรับลดราคาน้ำมันดีเซลลงต้องรอหลังการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ระหว่างวันที่ 2-3 พ.ค. 2566 ก่อนว่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ตามที่นักวิเคราะห์หลายฝ่ายคาดการณ์หรือไม่ ซึ่งหากมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยก็จะส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัว ปริมาณการใช้น้ำมันลดลง ซึ่งจากที่ผ่านมาเมื่อเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยก็ส่งผลให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวลดลง
ขณะเดียวกันกลุ่มโอเปกพลัส (Opec+) ได้มีการปรับลดกำลังการผลิตในเดือน พ.ค. 2566 ในขณะที่เศรษฐกิจจีนเติบโตเพิ่มขึ้น ปัจจัยเหล่านี้ต่างก็มีผลต่อทิศทางราคาน้ำมันเช่นกัน ทั้งนี้ ณ เดือน มี.ค. 2566 ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกอยู่ในระดับ 78.49 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันสำเร็จรูปดีเซล (Gas Oil) ณ เดือนมีนาคม 2566 อยู่ที่ 98.92 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล
“การเก็บเงินน้ำมันดีเซลเข้ากองทุนนั้นล่าสุดเมื่อวันที่ 26 เม.ย. มีการเก็บอยู่ที่ 5.74 บาทต่อลิตร หากถามว่าลดราคาดีเซลลงได้ไหมก็ลดลงได้ แต่ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาราคามีความผันผวนสูงทำให้เรายังคงต้องรอดูสถานการณ์การประชุมเฟดก่อนว่าราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกจะได้รับผลกระทบอย่างไรบ้าง เราเฝ้าติดตามใกล้ชิดเพื่อบริหารเพราะกองทุนฯเองก็ยังคงมีภาระหนี้อยู่ ขณะเดียวกันก็ต้องดูแลค่าครองชีพประชาชนครบคู่กันไปด้วย” นายวิศักดิ์ กล่าว
ส่วนกรณีที่นักการเมืองมีนโยบายหาเสียงว่าจะปรับโครงสร้างราคาน้ำมันใหม่ และปรับราคาน้ำมันดีเซลให้เหลือ 28 บาทต่อลิตรนั้นยังไม่ทราบรายละเอียดว่าจะปรับลดอย่างไร แต่ทาง สกนช. ได้จัดทำ scenario ไว้แล้ว โดยการสมมุติฐานไว้ 3 ปัจจัย คือ 1.กรณีการเก็บภาษีฯดีเซลกลับมาเป็นเหมือนเดิม 2.การปรับขึ้นภาษีตามขั้นบันได 3.ภาษีน้ำมันคงที่ โดยดำเนินภายใต้รพ.ร.บ.กองทุนน้ำมัน และแผนบริหารวิกฤติน้ำมัน นอกจากนี้ก็ต้องดูทิศทางเศรษฐกิจโลกด้วยว่าจะเป็นอย่างไร โดยเฉพาะเศรษฐกิจสหรัฐที่เป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้ราคาน้ำมันปรับตัวลดง เพื่อจัดทำแผนนำเสนอต่อรัฐบาลชุดใหม่หลังการเลือกตั้ง
ขณะที่การปรับลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลลิตรละ 5 บาทที่จะหมดอายุในวันที่ 20 ก.ค. 2566 ก็ขึ้นอยู่กับรัฐบาลรักษาการว่าจะมีอำนาจอย่างไรในการขยายเวลาออกไป ซึ่งก็อาจจะต้องไปขอให้ กกต. พิจารณาในรายละเอียด อย่างไรก็ตามที่ผ่านมา สกนช. ได้ลดราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลให้กับประชาชนรวม 4 ครั้งแล้ว ครั้งละ 0.50 บาทต่อลิตรส่งผลให้ดีเซลราคาเดิมที่ตรึงไว้ 34.94 บาทต่อลิตรมาสู่ระดับ 32.94 บาทต่อลิตรในปัจจุบัน
นายวิศักดิ์ กล่าวถึงผลการดำเนินงานของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในช่วงครึ่งปีงบประมาณ 2566 (ตุลาคม 2565 – มีนาคม 2566) ว่า อยู่ในเกณฑ์ดี กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมีสภาพคล่องเพิ่มขึ้น โดยในช่วงต้นปีงบประมาณฯ ฐานะเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเคยติดลบสูงสุดเดือนพฤศจิกายน 2566 ที่ 130,671 ล้านบาท ได้ทยอยปรับลดลงมา โดยในเดือนมีนาคม 2566 ติดลบเหลือ 94,471 ล้านบาท และล่าสุด 23 เมษายน 2566 ติดลบเหลือ 85,586 ล้านบาท
สภาพคล่องของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่ปรับตัวดีขึ้นเป็นผลมาจากสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกเริ่มคลี่คลายโดยราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยรายเดือนเฉลี่ยลดลง จากช่วงต้นปีงบประมาณเดือนตุลาคม 2565 อยู่ที่ 91.13 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ลดมาเหลือ 78.49 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลในเดือนมีนาคม 2566 ส่วนน้ำมันสำเร็จรูปดีเซล (Gas Oil) เดือนตุลาคมก็สูงถึง 133.84 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ปรับลดลงมาในเดือนมีนาคมที่ผ่านมาเหลือ 98.92 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล
นายพรชัย จิรกุลไพศาล ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ สกนช. กล่าวว่า ในด้านความคืบหน้าของการกู้ยืมเงินเสริมสภาพคล่องกองทุนน้ำมันฯ นั้น สกนช. ได้รับอนุมัติจาก คณะรัฐมนตรีในการกู้ยืมเป็นจำนวน 150,000 ล้านบาท โดยบรรจุเป็นหนี้สาธารณะของประเทศไปแล้ว 110,000 ล้านบาท ปัจจุบัน สกนช. ทำการกู้ยืมไปแล้ว 30,000 ล้านบาท ในเดือนเมษายน 2566 ได้ทำการกู้ยืมเงินเพิ่มอีก 20,000 ล้านบาท และในเดือนพฤษภาคมนี้เตรียมจะกู้ยืมอีก 20,000 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะทยอยทำการกู้ยืมเงินตามสภาพคล่องของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงต่อไป
“ถึงแม้ว่ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจะมีสภาพคล่องที่ดีขึ้น แต่ประมาณการฐานะกองทุนน้ำมันยังติดลบอยู่เป็นจำนวนมาก ประกอบกับความผันผวนของราคาพลังงานตามสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของกลุ่มโอเปกพลัสที่ลดกำลังการผลิต การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ความผันผวนของเงินดอลลาร์สหรัฐ การเปิดประเทศของจีน และความขัดแย้งจากประเทศและกลุ่มประเทศที่สนับสนุนของฝ่ายรัสเซียและยูเครน ทำให้ สกนช. ต้องเฝ้าติดตาม และคงต้องเรียกเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพื่อนำมาชำระหนี้ อย่างไรก็ตามราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลต้องอยู่ในราคาที่เหมาะสมไม่เกิดผลกระทบต่อค่าครองชีพของประชาชนจนมากเกินไปก็จะเป็นสิ่งที่ สกนช. จะต้องดำเนินการควบคู่กันไปเช่นกัน”
สำหรับฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงวันที่ 23 เมษายน 2566 กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสุทธิติดลบ 85,586 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นบัญชีน้ำมันติดลบ 38,749 ล้านบาท และบัญชีก๊าซ LPG ติดลบ 46,837 ล้านบาท