ผู้ชมทั้งหมด 919
“ราช กรุ๊ป” อยู่ระหว่างเจรจาซื้อกิจการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุเวียน หวังปิดดีลอย่างน้อย 1 โครงการในสิ้นปีนี้ ขณะที่ปี 65 อัดงบลงทุน 1.5 หมื่นล้านบาท เพิ่มกำลังผลิตใหม่ตามเป้า 700 เมกะวัตต์ คาดหนุนรายได้โตเฉลี่ย 10-20%
นางสาวชูศรี เกียรติขจรกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในช่วงที่เหลือของปีนี้ บริษัทฯ คาดหมายว่าจะใช้เงินลงทุนที่เหลืออยู่อีก 9,000 ล้านบาท เป็นไปตามแผน จากที่ตั้งงบลงทุนไว้ 15,000 ล้านบาท หลังช่วง 9 เดือนแรกใช้เงินไปแล้ว 6,701 ล้านบาท โดยขณะนี้ อยู่ระหว่างเจรจาเข้าซื้อหรือควบวรวมกิจการ(M&A) โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน คาดว่า จะปิดดีลได้อย่างน้อย 1 โครงการภายในสิ้นปีนี้
“ตามแผน 5 ปี(2564-2568) บริษัทได้วางเป้าพอร์ตการลงทุนจะเป็นธุรกิจไฟฟ้าสัดส่วน 80% และอีก 20% เป็นการสร้างมูลค่าเพิ่ม โดยธุรกิจไฟฟ้าจะเน้นเพิ่มพลังงานหมุนเวียน แตะ25%หรือ 2,500 เมกะวัตต์ ในปี68 และแตะ40%ในปี73 ซึ่งจะเป็นก๊าซฯ อยู่ที่ 5,500 เมกะวัตต์ และถ่านหินไม่เกิน 2,000 เมกะวัตต์ ซึ่งเมื่อได้โครงการไพตัน มาแล้ว จะทำให้สัดส่วนผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินเดิมอยู่ที่ 888 เมกะวัตต์ขึ้นไปแตะ 1,900 เมกะวัตต์ ก็คาดว่าจะหยุดการลงทุนเชื้อเพลิงถ่านหินไว้ในระดับนี้ และมุ่งพลังงานหมุนเวียนมากขึ้น”
โดยในปี 2565 บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายจะใช้เงินลงทุนระดับเดียวกับปีนี้ อยู่ที่ 15,000 ล้านบาท เพื่อเพิ่มกำลังผลิตใหม่ให้เติบโต 700 เมกะวัตต์ ซึ่งจะหนุนให้รายได้เติบโตเฉลี่ยราว 10-20% ประกอบกับจะรับรู้รายได้เพิ่มจากโครงการที่บริษัทเข้าซื้อกิจการในปีนี้ ดังนั้นตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นไป บริษัทฯจะมีรายได้มั่นคงในระยะยาว ขณะเดียวกันในปีหน้า ยังมีแผนจะออกหุ้นกู้เพื่อรีไฟแนนซ์หุ้นกู้เดิม ซึ่งยังมีกรอบที่จะสามารถออกหุ้นกู้สกุลดอลลาร์ได้อีก 1,000 ล้านดอลลาร์ แต่อยู่ระหว่างพิจารณารายละเอียดและจังหวะที่เหมาะสมอีกครั้ง รวมถึงยังมีแผนเพิ่มทุน ราว 30,000 ล้านบาทให้เสร็จสิ้นภายในปีหน้า เพื่อดำเนินการให้สอดรับกับแผนปรับโครงสร้างการลงทุนของบริษัท
ทั้งนี้ หลังจากภาครัฐได้ขยายกรอบรับซื้อไฟฟ้าภายใต้ความร่วมมือไทย-ลาว 10,500 เมกะวัตต์นั้น บริษัท ได้เสนอโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำ เซกอง 4 ให้กับภาครัฐพิจารณาแล้ว ก็คาดหวังที่จะบรรจุลงในแผนรับซื้อไฟฟ้าดังกล่าว
สำหรับผลการดำเนินงานในปีนี้ คาดว่า การลงทุนเพิ่มกำลังผลิตใหม่มีแนวโน้มดีกว่าเป้าหมาย 8,874 เมกะวัตต์ โดยคาดว่าจะรับรู้กำลังผลิตประมาณ 1,054 เมกะวัตต์ ซึ่งทำให้กำลังการผลิตรวมเพิ่มขึ้นเป็น 9,346.35 เมกะวัตต์ ทั้งนี้เป็นผลจากการเข้าซื้อหุ้น 45.515% จากบริษัท PT Paiton Energy ที่ดำเนินกิจการโรงไฟฟ้า 2 แห่ง กำลังผลิตรวม 2,045 เมกะวัตต์ ซึ่งที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม ที่ผ่านมา ให้ความเห็นชอบแล้ว และการซื้อหุ้นสามัญและหุ้นเพิ่มทุนของ บมจ. สหโคเจน (ชลบุรี) สัดส่วน 51% ซึ่งดำเนินกิจการโรงไฟฟ้าเอสพีพีระบบโคเจนเนอเรชั่น กำลังผลิตรวม 214 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าชีวมวล 2 แห่ง กำลังผลิตรวม 17.10 เมกะวัตต์ รวมทั้งธุรกิจโซลาร์รูฟด้วย ทั้งสองธุรกรรมคาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์ในไตรมาส 1 ปี 2565
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีการลงทุนในธุรกิจอื่นๆ เพิ่มขึ้นจนถึงปัจจุบันมีมูลค่าลงทุนรวมทั้งสิ้น 11,689 ล้านบาท โดยการลงทุนในปีนี้ ประกอบด้วย การเข้าซื้อหุ้นบมจ. บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ โครงการผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพอัดแท่ง ในลาว การเข้าซื้อหุ้นบริษัท พริ้นซิเพิล แคปิตอล จำกัด (มหาชน) โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล เวียงจันทน์ และบริษัท อินโนพาวเวอร์ จำกัด ซึ่งดำเนินธุรกิจสตาร์ทอัพด้านนวัตกรรมไฟฟ้าและพลังงาน ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้กำหนดสัดส่วนการลงทุนธุรกิจระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานและอื่นๆ ไว้ 20% ซึ่งจะเข้ามาช่วยผลักดันมูลค่ากิจการของบริษัทฯ ให้บรรลุเป้าหมาย 200,000 ล้านบาท ภายในปี 2568
ส่วนผลการดำเนินงานรอบ 9 เดือนแรกปี 2564 บริษัทฯ มีรายได้รวม จำนวน 29,824.13 ล้านบาท ประกอบด้วย รายได้จากการขายและบริการและรายได้ตามสัญญาเช่าการเงินของโรงไฟฟ้าที่บริษัทฯ ควบคุมจำนวน 24,931.08 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 83.59% ส่วนแบ่งกำไรของกิจการร่วมทุนและเงินปันผล จำนวน 4,318.05 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 14.48% และรายได้จากดอกเบี้ยและอื่นๆ จำนวน 575 ล้านบาท สำหรับกำไรสำหรับงวด 9 เดือน มีจำนวน 5,648.81 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 3.90 บาท
ฐานะการเงินของบริษัทฯ ณ วันที่ 30 กันยายน 2564 มีสินทรัพย์รวมจำนวน 126,765.41 ล้านบาท หนี้สินจำนวน 58,674.03 ล้านบาท และส่วนของผู้ถือหุ้นจำนวน 68,091.38 ล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังมีศักยภาพทางการเงินที่แข็งแกร่ง ซึ่งสะท้อนจากอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุน 0.59 เท่า อัตราส่วนความสามารถในการชำระหนี้ (DSCR) 4.81 เท่า และอัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น 11.69%