ราคาน้ำมันดิบสัปดาห์นี้อาจปรับขึ้น เหตุความไม่สงบในตะวันออกกลาง

ผู้ชมทั้งหมด 952 

ไทยออยล์ ชี้ ราคาน้ำมันดิบสัปดาห์นี้มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น จากความไม่สงบในตะวันออกกลาง และความต้องการใช้น้ำมันโลกปรับตัวสูงขึ้น คาดเวสต์เท็กซัส เคลื่อนไหวที่กรอบ 75-82 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนเบรนท์ เคลื่อนไหวที่กรอบ 79-86 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล

บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP เปิดเผยบทวิเคราะห์สถานการณ์น้ำมันประจำสัปดาห์ ระหว่างวันที่ 19 – 23 ก.พ. 67 พบว่า ราคาน้ำมันดิบยังคงมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นจากความไม่สงบในตะวันออกกลาง โดยการเจรจาหยุดยิงระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาสซึ่งยังคงไม่สามารถหาข้อสรุปได้ เนื่องจากอิสราเอลปฏิเสธการเจรจา ในขณะที่สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนยังคงตึงเครียดส่งผลให้ตลาดกังวลต่ออุปทานน้ำมันดิบรัสเซีย นอกจากนี้ โอเปกปรับคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจโลกเพิ่มขึ้น ในขณะที่ JP Morgan คาดการณ์ราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นจากสมมติฐานฯ ว่าซาอุดีอาระเบีย และรัสเซียจะยังคงมาตรการลดการผลิตน้ำมันหลังเดือน เม.ย. 67

อย่างไรก็ตาม ตลาดมีความกังวลว่าสหรัฐฯ มีความเสี่ยงที่จะถูกภัยคุกคามด้านความมั่นคง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่ออุปสงค์น้ำมันในสหรัฐฯ นอกจากนี้ ตลาดยังคงได้รับแรงกดดันจากตัวเลขปริมาณสำรองน้ำมันดิบสหรัฐฯ อยู่ในระดับสูง จากการนำเข้าน้ำมันดิบสหรัฐฯ เนื่องจากอัตราการกลั่นที่ยังอยู่ในระดับต่ำอยู่

สำหรับ ปัจจัยสำคัญที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ราคาน้ำมันในสัปดาห์นี้ ประกอบด้วย

 สถานการณ์ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ในภูมิภาคตะวันออกกลางยังคงตึงเครียดอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดอิสราเอลยังคงปฏิเสธการเจรจาการหยุดยิงชั่วคราวและยังไม่อนุมัติการส่งเจ้าหน้าที่เพื่อหารือ โดยข้อเรียกร้องดังกล่าวของนาย

มาห์มูด อับบาส ประธานาธิบดีปาเลสไตน์เรียกร้องให้กลุ่มฮามาส และอิสราเอลทำข้อตกลงเพื่อพักรบในเมืองราฟาห์เพื่อป้องกันเสียหายเพิ่มขึ้นแก่ชาวปาเลสไตน์ ทั้งนี้ตลาดกังวลถึงผลกระทบในวงกว้างต่อตลาดน้ำมันหากการเจรจาดังกล่าวยังไม่ประสบผลสำเร็จ

 สถานการณ์ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างรัสเซียและยูเครนยังคงมีความไม่สงบ เนื่องจากยูเครนเปิดเผยว่า กองทัพยูเครนได้โจมตีเรือยกพลขึ้นบกของรัสเซีย “Caesar Kunikov” ในพื้นที่ทะเลดำ บริเวณนอกชายฝั่งคาบสมุทรไครเมีย ซึ่งเรือลำดังกล่าวถูกโจมตีโดยโดรนต่อสู้ทางทะเล “MAGURA V5” ใกล้กับเมืองอาลุปกาบนคาบสมุทรไครเมีย เมื่อช่วงต้นเดือนนี้ ทั้งนี้กองทัพยูเครนเปิดเผยว่าได้สร้างความเสียหายให้กับเรือรัสเซียจำนวน 25 ลำ หรือคิดเป็น 33% ของกองเรือรัสเซียในทะเลดำ นับตั้งแต่เดือน ก.พ. 2565

 เศรษฐกิจโลกยังคงมีความไม่แน่นอน เนื่องจากประธานคณะกรรมาธิการฝ่ายข่าวกรองของสภาคองเกรสสหรัฐฯ เตือนว่า สหรัฐฯ มีความเสี่ยงที่จะถูกภัยคุกคามด้านความมั่นคง โดยเฉพาะภัยคุกคามที่เกี่ยวข้องกับรัสเซีย โดยคำเตือนดังกล่าวทำให้นักวิเคราะห์วิตกกังวลว่าอาจจะส่งผลกระทบเชิงลบต่ออุปสงค์น้ำมันในสหรัฐฯ

 โอเปกคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกจะขยายตัว 2.7% ในปี 2567 และ 2.9% ในปี 2568 จากเดิมที่คาดการณ์ว่าจะเติบโตที่ระดับ 2.6% และ 2.8% ตามลำดับ โดยได้แรงหนุนจากการชะลอตัวของอัตราเงินเฟ้อ อย่างไรก็ตาม โอเปกยังคงคาดการณ์อุปสงค์น้ำมันโลกปี 67 และ ปี 68 จะเพิ่มขึ้น 2.25 ล้านบาร์เรลต่อวัน และ 1.85 ล้านบาร์เรลต่อวัน ตามลำดับ

 ตลาดน้ำมันได้รับแรงสนับสนุนจาก JP Morgan คาดการณ์ว่าราคาน้ำมันดิบ ICE Brent ปรับตัวขึ้นมาเหนือระดับ 80 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ซึ่งจะมีโอกาสเพิ่มขึ้นอีก 10 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ไปแตะที่ระดับ 90 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ภายในเดือน พ.ค. 67 ภายใต้สมมติฐานฯ ว่าซาอุดีอาระเบีย และรัสเซียจะขยายมาตรการลดการผลิตรวม 0.4 ล้านบาร์เรลต่อวัน หลังเดือน เม.ย. 67 ต่อไป

 อย่างไรก็ตาม ตลาดน้ำมันคาดการณ์ว่าจะได้รับแรงกดดัน หลัง EIA รายงานตัวเลขโรงกลั่นสหรัฐฯ นำน้ำมันดิบเข้ากลั่นลดลง 0.3 ล้านบาร์เรลต่อวัน เทียบกับช่วงเดียวกันของสัปดาห์ที่แล้ว มาอยู่ที่ระดับ 14.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งลดลงสู่ระดับต่ำที่สุดตั้งแต่ ธ.ค. 65 และอัตราการกลั่น (Utilization Rate) ลดลง 1.8% เทียบกับช่วงเดียวกันของสัปดาห์ที่แล้ว มาอยู่ที่ระดับ 80.6% ส่งผลให้ปริมาณสต็อคน้ำมันดิบสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น

 ตัวเลขทางเศรษฐกิจที่สำคัญที่ต้องติดตามในสัปดาห์นี้คือ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อของสหรัฐฯ ประจำเดือน ก.พ. 67 และ ดัชนีราคาผู้บริโภคของสหภาพยุโรป ประจำเดือน ม.ค. 67

ทั้งนี้ ไทยออยล์ คาดราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสในสัปดาห์นี้จะเคลื่อนไหวที่กรอบ 75-82 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันดิบเบรนท์เคลื่อนไหวที่กรอบ 79-86 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล

ส่วนสรุปสถานการณ์ราคาน้ำมันในสัปดาห์ที่ผ่านมา ระหว่างวันที่ 12 – 15 ก.พ. 67 พบว่าราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสในสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับเพิ่มขึ้น 2.35 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ 79.19 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เช่นเดียวกันกับราคาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ปรับเพิ่มขึ้น 1.28 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ 83.47 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบดูไบปิดเฉลี่ยอยู่ที่ 82.03 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบในตะวันออกกลางยังคงรุนแรง โดยกลุ่มฮูตียังดำเนินการโจมตีเรือขนส่งของอิสราเอลและสหรัฐฯ ในบริเวณทะเลแดงอย่างต่อเนื่อง ขณะที่รัสเซียและยูเครนยังคงมีความไม่สงบอยู่

ล่าสุดมีการโจมตีโรงกลั่นน้ำมันทางตอนใต้ของรัสเซียสองแห่งโดยโดรนจากยูเครน ส่งผลให้เกิดเพลิงไหม้และกระทบต่อกำลังการผลิต นอกจากนี้ กระทรวงแรงงานของสหรัฐฯ เปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการ ว่างงานของสหรัฐฯ ปรับลดลง 9,000 ราย เหลือ 218,000 ราย ณ สัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 3 ก.พ. 67 ซึ่งปรับลดลงมากกว่าที่นักวิเคราะห์ คาดการณ์ว่าจะลดลงที่ประมาณ 7,000 ราย อย่างไรก็ตาม สำนักงานสถิติแรงงานสหรัฐฯ เปิดเผยอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ใน เดือน ม.ค. 67 อยู่ที่ 3.1% สูงกว่าคาดการณ์ที่ระดับ 2.9%

นอกจากนี้อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core CPI) เดือน ม.ค. 67 อยู่ที่ระดับ 3.9% สูงกว่า คาดการณ์ที่ระดับ 3.7% อัตราเงินเฟ้อที่ยังคงสูงกว่ากรอบเป้าหมายของ ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ที่ระดับ 2% ในขณะที่สำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐฯ (EIA) เปิดเผยตัวเลขน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ ประจำสัปดาห์สิ้นสุด ณ วันที่ 9 ก.พ. 67 ปรับเพิ่มกว่า 12 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 439.5 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะปรับเพิ่มขึ้น 3.3 ล้านบาร์เรล