ผู้ชมทั้งหมด 281
ไทยออยล์ ชี้ราคาน้ำมันดิบสัปดาห์นี้ปรับขึ้นเล็กน้อย หลังคาดโอเปกชะลอแผนการปรับเพิ่มกำลังการผลิต รวมถึงสถานการณ์ในยุโรปตะวันออกตึงเครียดต่อเนื่อง ท่ามกลางความกังวลตลาดเรื่องการกีดกันภาษีของสหรัฐฯ กับประเทศคู่ค้าต่างๆ คาดราคาเวสต์เท็กซัส เคลื่อนไหวที่กรอบ 65-75 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนเบรนท์ เคลื่อนไหวที่กรอบ 68-78 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล
บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP เปิดเผยบทวิเคราะห์สถานการณ์น้ำมันประจำสัปดาห์ ระหว่างวันที่ 2 – 6 ธ.ค. 67 พบว่า ราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มปรับเพิ่มเล็กน้อยหลังได้รับแรงหนุนจากการที่ตลาดคาดสมาชิกกลุ่มโอเปกพลัสชะลอแผนการปรับเพิ่มการผลิตออกไปต่อเนื่องเนื่องจากอุปสงค์น้ำมันโลกยังคงชะลอตัว ขณะที่อัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มชะลอตัวส่งผลให้ตลาดคาดเฟดอาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน ราคายังได้รับแรงสนับสนุนจากสถานการณ์ในยุโรปตะวันออกระหว่างยูเครนและรัสเซียที่ยังคงตึงเครียดต่อเนื่อง
อย่างไรก็ดี ตลาดคลายความกังวลเรื่องสงครามในตะวันออกกลางเนื่องจากอิสราเอลและกลุ่มฮิซบอเลาะห์สามารถบรรลุข้อตกลงยุติหยุดยิงชั่วคราวเป็นเวลา 60 วัน รวมถึงทิศทางของราคาพลังงานสหรัฐฯ ที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศแผนการเรียกเก็บภาษีในอัตรา 25% สำหรับสินค้าทั้งหมดที่นำเข้าจากเม็กซิโกและแคนาดา ส่งผลให้ต้นทุนพลังงานปรับเพิ่มขึ้นและอาจกดดันความต้องการใช้น้ำมันสหรัฐฯ
สำหรับปัจจัยสำคัญที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ราคาน้ำมันในสัปดาห์นี้ ประกอบด้วย
• ตลาดจับตาการประชุมของกลุ่มโอเปกและชาติพันธมิตรในวันที่ 5 ธ.ค. 67 เพื่อตัดสินใจเกี่ยวกับนโยบายการผลิตน้ำมันดิบในช่วงต้นปี 68 ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานของอาเซอร์ไบจานคาดกลุ่มโอเปกมีแนวโน้มชะลอแผนการปรับเพิ่มกำลังการผลิตต่อเนื่องจากกำหนดเดิมที่จะเริ่มขึ้นใน ม.ค. 68 เนื่องจากความต้องการใช้น้ำมันทั่วโลกยังมีแนวโน้มชะลอตัว นอกจากนี้ มีรายงานว่าสมาชิกกลุ่มผู้ผลิตน้ำมันในกลุ่มโอเปกพลัสอย่างอิรัก ซาอุดีอาระเบีย และรัสเซียได้มีการเจรจาหารือเบื้องต้นถึงแผนการเลื่อนการปรับเพิ่มปริมาณการผลิตออกไปในกรุงแบกแดด ประเทศอิรัก เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
• ตลาดได้รับแรงหนุนจากธนาคารกลางสหรัฐฯ เปิดเผยรายงานการประชุม (FOMC) เมื่อวันที่ 6-7 พ.ย.67 ที่ผ่านมา ระบุว่า คณะกรรมการเฟดมีความเชื่อมั่นว่าเงินเฟ้อมีทิศทางชะลอตัวลงสู่ระดับเป้าหมายที่ 2% และตลาดแรงงานยังแข็งแกร่ง ส่งผลให้คาดว่าเฟดจะสามารถปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป ทั้งนี้ นักลงทุนได้ให้น้ำหนักกว่า 62.8% ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงเพิ่มเติมในการประชุมเดือน ธ.ค. 67 อย่างไรก็ดี ยังคงต้องติดตามนโยบายการกีดกันทางการค้าของโดนัลด์ ทรัมป์ที่อาจส่งผลต่อทิศทางเงินเฟ้อสหรัฐฯ และส่งผลให้เฟดไม่สามารถปรับลดอัตราดอกเบี้ยได้ตามที่คาดการณ์ก่อนหน้าได้
• สถานการณ์ในยุโรปตะวันออกยังคงตึงเครียดอย่างต่อเนื่องเนื่องจากสหรัฐฯ อนุมัติให้ยูเครนใช้ขีปนาวุธพิสัยไกลเข้าไปในรัสเซียเป็นครั้งแรก โดยล่าสุดกระทรวงกลาโหมของรัสเซียเผยว่ายูเครนได้มีการใช้ขีปนาวุธ ATACMS ที่ผลิตในสหรัฐฯ เข้ามาโจมตีรัสเซีย 2 ครั้งในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาโดยมีเป้าหมายที่ฐานทัพทหารรัสเซียในภูมิภาค Kursk ของรัสเซีย ขณะเดียวกัน ประธานาธิบดียูเครน โวโลดีเมียร์ เซเลนกี เผยว่ารัสเซียได้มีการโจมตีทางอากาศ รวมถึงโจมตีคลังน้ำมันในแคว้นคาลูกาอีกด้วย
• ด้านความไม่สงบในตะวันออกกลางระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮิซบอเลาะห์มีแนวโน้มคลี่คลายลง หลังจากสหรัฐฯ และฝรั่งเศสสามารถไกล่เกลี่ยกับนายกรัฐมนตรีอิสราเอลและนายกรัฐมนตรีรักษาการของเลบานอนให้สามารถบรรลุข้อตกลงยุติหยุดยิงชั่วคราวเป็นเวลา 60 วันซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 27 พ.ย. 67 โดยอิสราเอลและกลุ่มฮิซบอเลาะห์จะถอนกำลังจากตอนใต้ของเลบานอนและให้กองทัพเลบานอนกลับเข้าประจำการแทนที่ อีกทั้งได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อตรวจสอบการปฎิบัติตามข้อตกลงดังกล่าว ทั้งนี้ หลายฝ่ายคาดการณ์ว่าการบรรลุข้อตกลงหยุดยิงดังกล่าวจะเป็นการปูทางไปสู่ข้อตกลงหยุดยิงกับกลุ่มฮามาสในฉนวนกาซาต่อไป
• ตลาดยังคงจับตาผลกระทบต่อตลาดเรื่องต้นทุนพลังงานหลังโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศแผนการเรียกเก็บภาษีในอัตรา 25% สำหรับสินค้าทั้งหมดที่นำเข้าจากเม็กซิโกและแคนาดา รวมถึงเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มอีก 10% ทั้งนี้ ตลาดคาดว่ามาตรการดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อหลายฝ่ายไม่ว่าจะเป็นผู้ผลิตน้ำมันดิบ โรงกลั่นน้ำมันในสหรัฐฯ ตลอดจนผู้บริโภคชาวสหรัฐฯ ทำให้ต้นทุนน้ำมันเบนซินตลอดจนราคาพลังงานปรับเพิ่มขึ้นกดดันความต้องการใช้น้ำมัน
• ตัวเลขทางเศรษฐกิจที่สำคัญที่น่าติดตามในสัปดาห์นี้คือ ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯ เดือน พ.ย. 67 ได้แก่ อัตราการว่างงาน การจ้างงานนอกภาคการเกษตร ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตและดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการบริการ เศรษฐกิจที่สำคัญของยุโรป ได้แก่ อัตราการว่างาน เดือน ต.ค. 67 ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิต เดือน พ.ย. 67 ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการบริการ เดือน พ.ย. 67 และดัชนีจีดีพีไตรมาส 3/67 และเศรษฐกิจที่สำคัญของจีน ได้แก่ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิต เดือน พ.ย. 67 ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการบริการ เดือน พ.ย. 67
ทั้งนี้ ไทยออยล์คาดราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสในสัปดาห์นี้จะเคลื่อนไหวที่กรอบ 65-75 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลส่วนน้ำมันดิบเบรนท์เคลื่อนไหวที่กรอบ 68-78 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล
ส่วนสรุปสถานการณ์ราคาน้ำมันในสัปดาห์ที่ผ่านมา ระหว่างวันที่ 25 – 29 พ.ย. 67พบว่า ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสในสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับลดลง 3.24 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ 68 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ในขณะที่ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ปรับลดลง2.23 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ 72.94 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบดูไบปิดเฉลี่ยอยู่ที่ 72.30 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เนื่องจากการเจรจาหยุดยิงระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮิซบอเลาะห์มีความคืบหน้าและสามารถบรรลุข้อตกลงหยุดยิงได้ในช่วงกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา
ขณะที่สำนักงานสถิติแห่งชาติจีนเผยรายงานผลกำไรภาคอุตสาหกรรมเดือน ม.ค.-ต.ค. 67 ปรับลดลง 4.3% เทียบปีก่อนหน้ามาแตะระดับ 5.86 ล้านล้านหยวน สะท้อนสภาพเศรษฐกิจจีนที่ไม่ฟื้นตัวและวิกฤตด้านอสังหาริมทรัพย์ที่ยังไม่คลี่คลาย
อย่างไรก็ดี ราคาได้รับแรงหนุนจากความไม่สงบของสถานการณ์ระหว่างรัสเซีย และยูเครนที่มีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้นตั้งแต่ช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะเดียวกัน ตลาดจับตาการประชุมของกลุ่มโอเปกพลัส โดยคาดว่ากลุ่มโอเปกพลัสมีมติเลื่อนแผนการปรับเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันดิบออกไปหลังความต้องการใช้น้ำมันยังคงอ่อนแอ
นอกจากนี้ ประธานบริษัท Exxon Mobil คาดว่าผู้ผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในสหรัฐฯ มีแนวโน้มจะไม่เพิ่มการผลิตน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติในปีหน้า ขณะที่สำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานของสหรัฐฯ (EIA) เปิดเผยตัวเลขน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ ประจำสัปดาห์สิ้นสุด ณ วันที่ 22 พ.ย. 67 ปรับลดลง 1.8 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 428.4 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะปรับลดลง 1.3 ล้านบาร์เรล