ผู้ชมทั้งหมด 192
ไทยออยล์ ชี้ราคาน้ำมันดิบสัปดาห์มีแนวโน้มผันผวน หลังประธานาธิบดีสหรัฐฯ มุ่งเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันดิบในประเทศ ท่ามกลางมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียที่อาจเข้มงวดขึ้น คาดเวสต์เท็กซัส เคลื่อนไหวที่กรอบ 70 – 80 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนเบรนท์ เคลื่อนไหวที่กรอบ 73 – 83 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล
บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP เปิดเผยบทวิเคราะห์สถานการณ์น้ำมันประจำสัปดาห์ ระหว่างวันที่ 27 – 31 ม.ค. 68 พบว่า ราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มผันผวนเนื่องจากประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศภาวะฉุกเฉินด้านพลังงานแห่งชาติ เพื่อสนับสนุนการผลิตน้ำมันดิบในประเทศเพิ่มขึ้น โดยสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐฯ (EIA) คาดการณ์ว่าอุปทานน้ำมันดิบที่ล้นตลาดจากการผลิตน้ำมันของสหรัฐฯ จะอยู่ในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่อุปสงค์น้ำมันดิบยังจำกัดจากภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงเปราะบางทั้งสหรัฐฯและจีน
รวมทั้งตลาดคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ จะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 4.25 – 4.50% ในการประชุมวันที่ 28-29 ม.ค. นี้ ซึ่งจะกดดันราคาน้ำมันดิบ อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันดิบยังคงได้รับแรงหนุนจากมาตรการคว่ำบาตรรัสเซีย รวมถึงการบังคับใช้มาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ที่อาจเข้มงวดขึ้น
สำหรับปัจจัยสำคัญที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ราคาน้ำมันในสัปดาห์นี้ ประกอบด้วย
- สำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐฯ (EIA) คาดการณ์ว่าราคาน้ำมันดิบจะปรับตัวลง เนื่องจากอุปทานน้ำมันดิบที่ล้นตลาดจากการผลิตน้ำมันของสหรัฐฯ อยู่ในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 13.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน ถึงแม้ว่าปริมาณการผลิตของกลุ่มผู้ผลิตน้ำมันดิบ (OPEC+) จะลดลงประมาณ 5.86 ล้านบาร์เรลต่อวันก็ตาม
- โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีคนใหม่สหรัฐฯ เผยว่า อาจมีการปรับเพิ่มกำแพงภาษีสินค้านำเข้าจากรัสเซียเพิ่มขึ้น รวมถึงเพิ่มมาตรการคว่ำบาตรที่เข้มงวดขึ้น เพื่อเป็นการกดดันให้รัสเซียบรรลุข้อตกลงหยุดยิงกับยูเครน ทั้งนี้ยังไม่มีการระบุอย่างแน่ชัดว่ามาตรการคว่ำบาตรเพิ่มเติมจะเป็นไปในทิศทางใด รวมถึงสหรัฐฯ กำลังพิจารณาเรื่องการส่งอาวุธไปยูเครน และกดดันให้
สี จิ้น ผิง ประธานาธิบดีจีนเข้ามาแทรกแซง เพื่อยุติสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนด้วย - นักลงทุนกำลังรอความชัดเจนเกี่ยวกับการบังคับใช้มาตรการภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดยในขณะนี้ คณะบริหารกำลังอยู่ระหว่างการหารือเกี่ยวกับการจัดเก็บภาษีศุลกากรเพิ่มเติมสำหรับสินค้านำเข้าจากประเทศจีนในอัตราร้อยละ 10 และการจัดเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากประเทศเม็กซิโกและประเทศแคนาดา ในอัตราร้อยละ 25 ในวันที่ 1 ก.พ. 68 นอกจากนี้ อาจมีการพิจารณาจัดเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากยุโรปด้วย อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติม ทั้งนี้ ประธานาธิบดีทรัมป์ได้มีคำสั่งให้หน่วยงานของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ทบทวนประเด็นด้านการค้าทั้งหมดอย่างรอบด้าน และให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 1 เม.ย. นี้
- สถานการณ์ความไม่สงบในตะวันออกกลางเริ่มผ่อนคลาย หลังก่อนหน้านี้อิสราเอลและกลุ่มฮามาสได้บรรลุข้อตกลงหยุดยิงเป็นระยะเวลา 6 สัปดาห์ โดยมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 20 ม.ค. ที่ผ่านมา โดยทางกลุ่มฮามาสปล่อยตัวประกันชุดแรกเป็นหญิงชาวอิสราเอล 3 คน ขณะที่ทางฝั่งอิสราเอลมีการปล่อยนักโทษชาวปาเลสไตน์ 90 คน อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องจับตาอย่างใกล้ชิด หลังในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา กองทัพอิสราเอลได้บุกเข้าโจมตีเมืองเจนินในเขตเวสต์แบงก์ จนมีชาวปาเลสไตน์เสียชีวิตอย่างน้อย 8 คน ซึ่งทาง เบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล ระบุว่า เป็นปฏิบัติการทางทหารครั้งใหญ่ต่อกลุ่มติดอาวุธที่ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่าน
- ตลาดจับตาการประชุมของคณะกรรมการธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC) ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 28-29 ม.ค. นี้ โดยล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ จะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับร้อยละ 4.25-4.50 อย่างไรก็ตาม จากตัวเลขอัตราเงินเฟ้อเดือน ธ.ค. 67 ซึ่งอยู่ที่ระดับร้อยละ 2.9 และเป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ ส่งผลให้ตลาดคาดว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ มีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยเร็วขึ้นจากเดือน ก.ย.68 เป็น มิ.ย. 68 โดยการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ จะส่งผลให้ความต้องการใช้น้ำมันปรับตัวดีขึ้น
- ตัวเลขทางเศรษฐกิจที่สำคัญที่น่าติดตามในสัปดาห์นี้คือ ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯ ได้แก่ ตัวเลขจีดีพีประจำไตรมาสที่ 4/67, ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของจีน ได้แก่ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิต เดือน ม.ค. 68 และตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของยุโรป ได้แก่ ตัวเลขจีดีพี ประจำไตรมาสที่ 4/67 และอัตราการว่างงานเดือน ธ.ค. 67
ทั้งนี้ ไทยออยล์ คาดราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสในสัปดาห์นี้จะเคลื่อนไหวที่กรอบ 70 – 80 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล
ส่วนน้ำมันดิบเบรนท์เคลื่อนไหวที่กรอบ 73 – 83 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล
ส่วนสรุปสถานการณ์ราคาน้ำมันในสัปดาห์ที่ผ่านมา ระหว่างวันที่ 20 – 24ม.ค. 68 พบว่า ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสในสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับลดลง3.22 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ 74.66 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ในขณะที่ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ปรับลดลง 2.29 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ 78.50เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบดูไบปิดเฉลี่ยอยู่ที่ 81.74 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล หลังจากประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ เข้ารับตำแหน่งเป็นสมัยที่สองอย่างเป็นทางการ พร้อมประกาศว่าจะใช้อำนาจลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารเพื่อประกาศภาวะฉุกเฉินด้านพลังงานแห่งชาติ โดยมีเป้าหมายเพื่อลดราคาพลังงานในสหรัฐฯ โดยมาตรการดังกล่าวจะมุ่งเน้นการเพิ่มอุปทานน้ำมันผ่านการขุดเจาะน้ำมันดิบและการวางท่อส่งน้ำมัน ซึ่งจะส่งผลให้ราคาน้ำมันปรับตัวลดลง ขณะเดียวกันสหรัฐฯอาจพิจารณาหยุดการนำเข้าน้ำมันจากเวเนซุเอลา ซึ่งถูกสหรัฐฯคว่ำบาตร ทั้งนี้ สหรัฐฯนำเข้าน้ำมันจากเวเนซุเอลากว่า 200,000 บาร์เรลต่อวันในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2567 นากจากนี้ สำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานของสหรัฐฯ (EIA) เผยตัวเลขน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ ประจำสัปดาห์สิ้นสุด ณ วันที่ 17 ม.ค. 68 ปรับลดลง 1.0 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 412 ล้านบาร์เรล น้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะปรับลดลง 2.1 ล้านบาร์เรล
ส่วนสรุปสถานการณ์ราคาน้ำมันในสัปดาห์ที่ผ่านมา ระหว่างวันที่ 20 – 24ม.ค. 68 พบว่า ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสในสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับลดลง3.22 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ 74.66 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ในขณะที่ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ปรับลดลง 2.29 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ 78.50เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบดูไบปิดเฉลี่ยอยู่ที่ 81.74 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล หลังจากประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ เข้ารับตำแหน่งเป็นสมัยที่สองอย่างเป็นทางการ พร้อมประกาศว่าจะใช้อำนาจลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารเพื่อประกาศภาวะฉุกเฉินด้านพลังงานแห่งชาติ โดยมีเป้าหมายเพื่อลดราคาพลังงานในสหรัฐฯ โดยมาตรการดังกล่าวจะมุ่งเน้นการเพิ่มอุปทานน้ำมันผ่านการขุดเจาะน้ำมันดิบและการวางท่อส่งน้ำมัน ซึ่งจะส่งผลให้ราคาน้ำมันปรับตัวลดลง ขณะเดียวกันสหรัฐฯอาจพิจารณาหยุดการนำเข้าน้ำมันจากเวเนซุเอลา ซึ่งถูกสหรัฐฯคว่ำบาตร
ทั้งนี้ สหรัฐฯนำเข้าน้ำมันจากเวเนซุเอลากว่า 200,000 บาร์เรลต่อวันในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2567 นากจากนี้ สำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานของสหรัฐฯ (EIA) เผยตัวเลขน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ ประจำสัปดาห์สิ้นสุด ณ วันที่ 17 ม.ค. 68 ปรับลดลง 1.0 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 412 ล้านบาร์เรล น้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะปรับลดลง 2.1 ล้านบาร์เรล