ผู้ชมทั้งหมด 44
“พลังงาน” ลั่น ตรึงค่าไฟงวดแรกปี68 (ม.ค.-เม.ย.) พร้อมดูแลราคาดีเซล เป็นของขวัญปีใหม่ให้ประชาชน ขณะที่ปี68 เร่งคลอดกฎหมาย 2 ฉบับ กำหนดสำรองน้ำมันเชิงยุทธศาสตร์ (SPR) จ่อรื้อโครงสร้างปรับราคาน้ำมันรายวันไม่อิงตลาดสิงคโปร์ ย้ำไม่ได้ล้มโครงการรับซื้อไฟฟ้าสีเขียว รอบ 2 ยังรอความชัดเจนด้านกฎหมาย
นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ระบุว่า กระทรวงพลังงาน เตรียมของขวัญปีใหม่สำหรับประชาชน โดยจะพยายามตรึงอัตราค่าไฟฟ้า ไม่เกิน 4.18 บาทต่อหน่วย ของ งวดเดือน ม.ค.-เม.ย. 2568 และตรึงราคาน้ำมันดีเซล เหมือนที่เคยดำเนินการ ซึ่งในส่วนของอัตราค่าไฟฟ้าในปี 2568 จะพยายามทำให้ค่าไฟฟ้าต่ำกว่า 4.18 บาทต่อหน่วย เพื่อช่วยดูแลค่าครองชีพให้ประชาชน และในทุกงวดจะต้องมีส่วนที่แบ่งชำระคืนหนี้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ที่แบกรับค่าไฟฟ้าแทนประชาชนรวมเกือบ 1 แสนล้านบาทด้วย
ทั้งนี้ ในปี 2568 กระทรวงพลังงาน ยังเตรียมแก้ไขกฎหมายที่สำคัญ 2 ส่วน ประกอบด้วย กฎหมายฉบับแรก คือ การเปลี่ยนระบบอ้างอิงราคาน้ำมันจากตลาดสิงคโปร์ มาเป็นการคิดราคาตามต้นทุนที่แท้จริง (Cost Plus) ซึ่งระบบนี้ปกติจะมีการเปลี่ยนแปลงราคาน้ำมันเพียงเดือนละครั้ง ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาการปรับขึ้นลงราคาน้ำมันรายวันที่เกิดขึ้นในปัจจุบันได้ เนื่องจากที่ผ่านมาไทยไม่มีกฎหมายที่จะหาต้นทุนราคาน้ำมันที่แท้จริงได้ จึงต้องไปอ้างอิงราคาน้ำมันสิงคโปร์แทน ดังนั้นถ้าสามารถค้นหาต้นทุนและค่าใช้จ่าย บวกกำไร ของธุรกิจน้ำมันในประเทศได้ ก็ไม่จำเป็นต้องอ้างอิงราคาน้ำมันจากตลาดต่างประเทศ
กฎหมายฉบับที่ 2 คือ กฎหมายการสำรองน้ำมันเชิงยุทธศาสตร์ (SPR) ที่ผ่านมากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเกิดขึ้นตั้งแต่สมัยเกิดวิกฤติราคาพลังงาน ปี 2515 โดยการนำเงินผู้ค้าน้ำมันลงขันกัน เมื่อเกิดปัญหาราคาน้ำมันก็จะใช้เงินไปชดเชยราคาให้ประชาชน แต่ปัจจุบันกลายเป็นว่า เก็บเงินจากประชาชนมาคืนให้ผู้ค้าน้ำมัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง นอกจากนี้การเรียกเก็บเงินจากประชาชนเพื่อมาชดเชยราคาน้ำมัน เป็นเรื่องยาก เพราะเก็บเงินอย่างไรก็ไม่เพียงพอเนื่องจากมูลค่าราคาน้ำมันขึ้นตลอด จนส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ ติดลบจำนวนมาก และสร้างหนี้ให้กับประเทศ
ดังนั้น กฎหมาย SPR จะเป็นการเก็บเป็นน้ำมันจากผู้ค้า แทนการเรียกเก็บเงินจากประชาชนเข้ากองทุนฯ และเมื่อมีปัญหาราคาน้ำมัน ก็จะนำน้ำมันที่เก็บไว้ออกมาใช้แทน และชดเชยโดยการนำน้ำมันมาคืน ดังนั้นต้นทุนราคาน้ำมันที่เกิดจากการเรียกเก็บเงินประชาชนส่วนนี้ก็จะหายไป
นายพีระพันธุ์ ยังกล่าวอีกว่า กรณีสั่งให้ชะลอการรับซื้อไฟฟ้าสีเขียว รอบ 2 จำนวน 2,180 เมกะวัตต์ นั้น เพื่อดำเนินการตรวจสอบด้านกฎหมายให้ชัดเจนว่าจะสามารถเดินหน้าโครงการได้หรือไม่ เนื่องจากตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ที่ผ่านมา ได้เปิดรับซื้อไฟฟ้าสีเขียวรอบแรกประมาณ 5,000 เมกะวัตต์ ไปแล้ว แต่ต่อมาพบว่า ยังมีผู้ผลิตที่ไม่ได้เข้าร่วมโครงการอีกหลายราย จึงทำการเปิดรับซื้อรอบ 2 ในครั้งนี้ ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนที่ตัวเองจะเข้ามาบริหารงาน ดังนั้นต้องดำเนินการตรวจสอบทางกฎหมายก่อนว่า การเปิดรับซื้อไฟฟ้าสีเขียว 2,180 เมกะวัตต์ ที่กำหนดให้เฉพาะกลุ่มผู้ที่ผ่านคุณสมบัติแต่ไม่ได้เข้าร่วมโครงการไฟฟ้าสีเขียวในรอบแรก จะได้รับการพิจารณาก่อนนั้น จะสามารถดำเนินการได้หรือไม่ ซึ่งขณะนี้ได้หารือกับทางกฤษฎีกาแล้ว และรอรวบรวมรายละเอียดข้อมูลข้อเท็จจริงตั้งแต่ปลายปี 2565-2566 จากเลขา กพช. ก่อน
“หากพบว่า ไม่ขัดต่อกฎหมายและดำเนินการได้ ก็จะเดินหน้าต่อไป แต่หากพบว่าทำไม่ได้ก็ต้องแก้ไขมติ กพช. ให้ถูกต้อง ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปที่ชัดเจนไม่เกินสิ้นปี 2567”