ผถห.“EGCO” ไฟเขียวจ่ายปันผลงวดครึ่งหลังปี2567 อัตรา 3.25 บาทต่อหุ้น

ผู้ชมทั้งหมด 217 

ผู้ถือหุ้น “EGCO” รับทราบนโยบายจ่ายปันผลงวดครึ่งหลังปี 2567 อัตรา 3.25 บาทต่อหุ้น วันที่ 23 เม.ย.นี้ เผยนโยบายสหรัฐฯขึ้นภาษีนำเข้า ยังไม่กระทบโครงการลงทุนโรงไฟฟ้าก๊าซฯ-พลังงานหมุนเวียน ย้ำเกาะติดสถานการณ์ใกล้ชิด ชี้ “รัฐ” คุมค่าไฟไม่กระทบผลการดำเนินงานและการจ่ายปันผล ลั่นพร้อมเดินหน้าลงทุน โครงการ RE Biglot รอบที่ 2 ทันทีหากนโยบายรัฐชัดเจน

ดร.จิราพร ศิริคำ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ EGCO เปิดเผยในการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 ในรูปแบบการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (E-Meeting) วันที่ 11 เมษายน 2568 โดยระบุว่า ที่ประชุมฯ มีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลสําหรับผลการดําเนินงานครึ่งปีหลังของ ปี 2567 จะจ่ายจากกําไรสุทธิ ในอัตราหุ้นละ 3.25 บาท สําหรับหุ้นจํานวน 526,465,000 หุ้น เป็นจํานวนเงินรวม 1,711 ล้านบาท โดยมีกําหนดการจ่าย ในวันที่ 23 เมษายน 2568 ทั้งนี้ อัตราการจ่ายเงินปันผลดังกล่าวคิดเป็น 63.23% ซึ่งเป็นอัตราที่สูงกว่านโยบายการจ่ายปันผลของบริษัทที่กําหนดไว้

โดยการพิจารณาจ่ายปันผลดังกล่าว สืบเนื่องจาก บริษัทได้พิจารณาผลการดําเนินงานประจําปี 2567 ซึ่งมีกําไรสุทธิตามงบการเงิน รวม 5,412 ล้านบาท หรือ 10.28 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้นจากปี 2566 จํานวน 13,796 ล้านบาท และมีกําไรจากการดําเนินงาน จํานวน 9,283 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2566 จํานวน 549 ล้านบาท รวมทั้งได้พิจารณาแผนการลงทุนในอนาคต กระแสเงินสดของบริษัท การรักษาระดับการจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นและ กําไรสะสมของงบการเงินเฉพาะกิจการแล้ว เห็นสมควรจ่ายเงินปันผลประจําปี 2567 แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราหุ้นละ 6.50 บาท คิดเป็นเงินปันผลจ่ายทั้งสิ้น จํานวน 3,422 ล้านบาท ซึ่งเท่ากับปี 2566 ทั้งนี้ บริษัทได้จ่ายเงินปันผล ระหว่างกาลสําหรับผลการดําเนินงานครึ่งปีแรกของปี 2567 ในอัตราหุ้นละ 3.25 บาท ไปแล้ว

ที่ประชุมฯ รับทราบผลการดำเนินงานประจำปี 2567 โดย EGCO Group สามารถบริหารและจัดการการเดินเครื่องโรงไฟฟ้า ต้นทุนเชื้อเพลิง ต้นทุนทางการเงิน และสินทรัพย์ในทุกประเทศที่เข้าไปลงทุน ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้บริษัทรับรู้รายได้รวม 46,341 ล้านบาท โดยมีกำไรจากการดำเนินงาน 9,283 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% และมีกำไรสุทธิ 5,412 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13,796 ล้านบาท หรือ 165% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของ EGCO Group มีปัจจัยสนับสนุนหลักมาจากผลประกอบการที่เพิ่มขึ้นของโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ในต่างประเทศ ได้แก่ Yunlin ในไต้หวัน มีปริมาณการขายไฟฟ้าเพิ่มขึ้นจากการจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ ปัจจุบัน Yunlin ได้จ่ายไฟฟ้าเข้าระบบครบ 80 ต้น รวมกำลังผลิต 640 เมกะวัตต์ เรียบร้อยแล้ว Quezon ในฟิลิปปินส์ มีปริมาณการขายไฟฟ้าเพิ่มขึ้น Nam Thuen 2 ใน สปป.ลาว มีรายได้จากการขายไฟฟ้าเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ปัจจัยบวกสำคัญยังมาจากโรงไฟฟ้าในสหรัฐอเมริกา ได้แก่ APEX ผู้พัฒนาโครงการพลังงานหมุนเวียนขนาดใหญ่ ที่รับรู้รายได้จากการขายโครงการเพิ่มขึ้น และกลุ่มโรงไฟฟ้า Compass ที่ EGCO Group เริ่มรับรู้รายได้จากการเข้าไปถือหุ้น 50% เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2567     

อีกทั้ง EGCO ยังได้วางแผนกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจระยะ 3 ปี (ปี 2568-2570) โดยมีเป้าหมายสร้างความแข็งแกร่ง  3 ด้าน ได้แก่ การเพิ่มความสามารถในการสร้างรายได้และผลกำไรอย่างยั่งยืน การบรรลุเป้าหมายองค์กรคาร์บอนต่ำ และการปรับเปลี่ยนองค์กรเพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต ซึ่งเป้าหมายดังกล่าวนี้จะขับเคลื่อน ด้วยกลยุทธ์ “Triple P” 3 ด้าน ได้แก่

Profitability and Performance Energizing เพิ่มความสามารถในการสร้างรายได้และผลกำไรให้ดีขึ้น อย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งรักษาเสถียรภาพทางการเงิน เพื่อดูแลอัตราส่วนหนี้สินและรักษาอันดับความน่าเชื่อถือของบริษัท ตลอดจนให้ความสำคัญกับการดูแลผู้ถือหุ้น ด้วยนโยบายการจ่ายเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอ

Power and Energy-related Focus เน้นลงทุนในธุรกิจไฟฟ้า ซึ่งเป็นธุรกิจหลักและรากฐานความแข็งแกร่งของ EGCO Group ทั้งโรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซธรรมชาติ ซึ่งมีความสำคัญต่อความมั่นคงของระบบไฟฟ้าในยุคเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน และโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ผ่านการลงทุนทั้งรูปแบบ M&A และ Greenfield ตลอดจนแสวงหาโอกาสลงทุนในธุรกิจพลังงานที่เกี่ยวเนื่อง โดยต่อยอดการลงทุนในประเทศที่มีฐานธุรกิจอยู่แล้ว 7 ประเทศ ด้วยการตั้งงบลงทุนปีละ 30,000 ล้านบาท

Portfolio and People Management บริหารจัดการพอร์ตการลงทุนและทรัพยากรบุคคลให้มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยมุ่งเน้นสร้างความเป็นเลิศในกระบวนการดำเนินงาน (Operational Excellence) ให้ความสำคัญกับการบริหารสินทรัพย์เชิงกลยุทธ์เพื่อนำรายได้ไปแสวงหาโอกาสการลงทุนใหม่ (Asset Recycling) ที่จะสร้างการเติบโตต่อเนื่องในระยะยาว พร้อมทั้งปรับเปลี่ยนโครงสร้างองค์กรเพื่อรองรับการขยายธุรกิจในระดับสากล ตลอดจนปรับปรุงกระบวนการดำเนินธุรกิจให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ด้วยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล ในกระบวนการต่าง ๆ เพื่อรองรับโอกาสการเติบโตทางธุรกิจในอนาคต

นอกจากนี้ ที่ประชุมฯ ยังเห็นชอบเลือกตั้งกรรมการแทนกรรมการที่ออกตามวาระประจำปี 2568 โดยมีกรรมการ EGCO ที่จะครบวาระ จำนวน 5 คน และเห็นสมควรเสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้นเลือกตั้งกรรมการ จํานวน 5 คนดังกล่าว กลับเข้าดํารงตําแหน่งอีกวาระหนึ่ง ดังนี้

1. นางนุชนาถ เลาหไทยมงคล กรรมการอิสระ ดำรงตำแหน่งอีกวาระหนึ่ง

2. นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ กรรมการที่ไม่เป็นผู้บริหาร ดำรงตำแหน่งอีกวาระหนึ่ง

3. นางพัชรินทร์ รพีพรพงศ์ กรรมการที่ไม่เป็นผู้บริหาร ดำรงตำแหน่งอีกวาระหนึ่ง

4. นายชินอิจิโร่ ซูซูกิ กรรมการที่ไม่เป็นผู้บริหาร ดำรงตำแหน่งอีกวาระหนึ่ง

5. นางสาวจิราพร ศิริคํา กรรมการที่เป็นผู้บริหาร ดำรงตำแหน่งอีกวาระหนึ่ง

ดร.จิราพร ยังได้ตอบคำถามผู้ถือหุ้นฯ ในประเด็นต่างๆ โดยระบุว่า กรณีสหรัฐอเมริกา มีนโยบายขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากประเทศต่างๆนั้น เบื้องต้น การลงทุนโรงไฟฟ้าในสหรัฐฯของบริษัท มี 2 ประเภทเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ และพลังงานหมุนเวียน ซึ่งปัจจุบันการลงทุนในโครงการฯที่มีการเจรจาต้นทุนการก่อสร้างไปแล้วนั้นได้กำหนดราคาเรียบร้อยแล้วจึงไม่มีผลกระทบ แต่การลงทุนในโครงการถัดไปที่อาจต้องนำเข้าอุปกรณ์ เช่น แผงโซลาร์ฯจากจีน ก็ต้องติดตามผลกระทบในระยะต่อไป ส่งโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซฯ จะเป็นการใช้ก๊าซฯจากแหล่งก๊าซฯในสหรัฐ ดังนั้นในระยะสั้นยังไม่มีผลกระทบเกิดขึ้น แต่หากการก่อสร้างโครงการมีความล่าช้าในระยะถัดไปก็อาจมีผลกระทบเกิดขึ้นได้

ขณะที่การลงทุนในสหรัฐฯของบริษัท จะมีความเสี่ยงจากปัญหาความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯกับกลุ่มฮูตีและกลุ่มตะวันออกกลางหรือไม่นั้น ทาง EGCO มีคณะกรรมการกำกับความเสี่ยงฯ ที่จะมีการจัดประชุมทั้งวาระปกติและวาระพิเศษเพื่อติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ซึ่งปัจจุบันสถานการณ์ดังกล่าวยังไม่มีผลกระทบต่อการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานของบริษัทฯในสหรัฐฯ เช่นเดียวกับโครงการลงทุนของบริษัทในประเทศไต้หวันที่ยังไม่ได้รับผลกระทบจากปัญหาความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯกับจีน ซึ่งบริษัท ยังคงติดตามสถานการณ์การลงทุนอย่างใกล้ชิด

ส่วนกรณีการพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในประเทศ RE Biglot รอบที่ 2 ในรูปแบบ Feed-in Tarff (FiT) ปี 2565-2573 สำหรับกลุ่มไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิงในส่วนพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินนั้น ทาง EGCO มีความพร้อมที่จะลงทุน แต่ยังรอความชัดเจนจากภาครัฐในการพิจารณาข้อกฎหมายต่างๆ ขณะนี้ภาครัฐยังชะลอโครงการฯไว้ ซึ่งหากรัฐมีนโยบายที่ชัดเจนออกมา EGCO ก็พร้อมเดินหน้าการลงทุนในทันที โดย RE Biglot รอบที่ 2 EGCO ได้รับการคัดเลือกจำนวน 11 โครงการ กำลังผลิตติดตั้งรวม 448 เมกะวัตต์ ที่เป็นการลงทุนในทั้งรูปแบบ SPP ที่จะมีสัญญา PPA กับ กฟผ.ระยะเวลา 25 ปี และรูปแบบ VSPP ที่จะมีสัญญา PPA กับ กฟภ.ระยะเวลา 25 ปี อัตรารับซื้อไฟฟ้า FiT ประมาณ 2.1679 บาทต่อหน่วย  

ขณะที่นโยบายปรับลดค่าไฟของภาครัฐ เชื่อว่าจะไม่กระทบผลการดำเนินงานของบริษัท เนื่องจากปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนรายได้จากการลงทุนในต่างประเทศ มากถึง 56% และ รายได้ 44% เป็นการลงทุนในประเทศไทย ขณะเดียวกันการลงทุนโครงการในไทย บริษัทได้บริหารจัดการต้นทุนต่างๆเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการลงทุนและสร้างผลตอบแทนที่ดี ซึ่งนโยบายคุมค่าไฟดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบต่อการจ่ายปันผลของบริษัท โดยยังคงนโยบายจ่ายปันผลในสัดส่วน 40% ของกำไรสุทธิ

อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคาดหวังที่จะมีกำไรสุทธิกลับไปแตะระดับ 10,000 ล้านบาทเหมือนอดีต ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับผลประกอบการและโครงการลงทุนในอนาคต โดยปัจจุบันบริษัทมีแผนขยายการลงทุนทั้งในระยะสั้นและระยะยาว รวมถึงมีการเจรจาแผนการควบรวมหรือซื้อกิจการ(M&A) ในหลายโครงการ และพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าระยะยาว เพื่อสร้างผลตอบแทนการลงทุนที่เติบโตต่อเนื่องให้กับบริษัท

ส่วนราคาหุ้น EGCO ที่ปรับลดลงมากนั้นบริษัทจะมีแผนซื้อหุ้นคืนหรือไม่ ในเรื่องนี้ บริษัทได้มีการศึกษาความเหมาะสมต่อเนื่อง รวมถึงมีการนำเสนอให้คณะกรรมการบริษัทพิจารณาเป็นครั้งคราวตามความเหมาะสม ซึ่งการจะดำเนินการซื้อหุ้นคืนนั้นจะดำเนินการเมื่อมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์ต่อบริษัทและนักลงทุน