ปตท. ชี้ เหตุขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลาง กดดันราคาน้ำมันดิบสัปดาห์นี้ปรับขึ้น

ผู้ชมทั้งหมด 295 

“ราคาน้ำมันดิบ” ในตลาดโลกช่วงต้นสัปดาห์แรกของเดือนตุลาคม ปี2567 กลับมาปรับตัวสูงขึ้นอีกครั้ง จากสถานการณ์ขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลางระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน

หน่วยธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT  รายงานสถานการณ์ตลาดน้ำมันประจำสัปดาห์วันที่ 30 ก.ย. – 4 ต.ค. 2567 โดยระบุว่า ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้นจากสถานการณ์ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลาง ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการคาดการณ์ด้านอุปทานน้ำมันในตลาดโลก ซึ่งมีปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อความเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันดิบตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาดังนี้

ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง คือเหตุการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2567 อิหร่านได้ระดมยิงมิสไซล์กว่า 180 ลูกเข้าใส่เมือง Tel Aviv เพื่อตอบโต้การสังหารผู้นำกลุ่ม Hezbollah โดยอิสราเอล ทำให้ตลาดน้ำมันกังวลว่าอิสราเอลจะมีการตอบโต้กลับ ทั้งนี้ สถานการณ์กลับทวีความรุนแรงขึ้นอีกเมื่อวันที่ 5-6 ตุลาคม 2567 โดยกองทัพอากาศอิสราเอลได้โจมตีเขตชานเมือง Beirut เมืองหลวงของเลบานอนอย่างหนัก ซึ่งมีเป้าหมายหลักเป็นคลังเก็บอาวุธของกลุ่ม Hezbollah ส่งผลให้ความตึงเครียดในภูมิภาคเพิ่มมากขึ้น จำนวนผู้เสียชีวิตสะสมในเลบานอนจากความขัดแย้งตั้งแต่วันที่ 16 กันยายน 2567 มีมากกว่า 2,000 ราย

การโจมตีเรือขนส่งน้ำมันในทะเลแดง นอกจากนี้ สถานการณ์ความไม่สงบยังคงเกิดขึ้นในภูมิภาคเยเมน เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2567 กลุ่ม Houthi ได้โจมตีเรือขนส่งน้ำมันดิบ Cordelia Moon และเรือขนส่งสินค้า Minoan Courage ในทะเลแดง โดยใช้เรือผิวน้ำไร้คนขับและมิสไซล์ แม้ว่าเรือทั้งสองลำไม่ได้รับความเสียหายรุนแรง แต่เหตุการณ์ดังกล่าวสร้างความกังวลต่อความปลอดภัยในการขนส่งน้ำมันในภูมิภาคนี้

สถานการณ์ตลาดน้ำมันและการผลิตของ OPEC+ จากสถานการณ์ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์นี้ สร้างแรงกดดันให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่กลุ่ม OPEC+ ซึ่งเป็นผู้ผลิตน้ำมันดิบรายใหญ่ของโลก ยังคงเดินหน้าตามแผนการผลิต โดยในที่ประชุม Joint Ministerial Monitoring Committee (JMMC) เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2567 มีมติให้คงแผนเพิ่มการผลิตน้ำมันดิบในเดือนธันวาคม 2567 ที่ระดับ 189,000 บาร์เรลต่อวัน อย่างไรก็ตาม OPEC+ ได้เรียกร้องให้อิรักและคาซัคสถานลดการผลิตน้ำมันที่เกินโควตาลงประมาณ 150,000 บาร์เรลต่อวันในเดือนตุลาคม 2567 เพื่อรักษาสมดุลในตลาด

สถานการณ์เศรษฐกิจโลก นอกจากปัจจัยความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์แล้ว สถานการณ์ทางเศรษฐกิจโลกก็เป็นปัจจัยที่กดดันราคาน้ำมันเช่นกัน กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ รายงานว่า ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรในเดือนกันยายน 2567 เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 254,000 ราย ซึ่งสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก ขณะที่อัตราการว่างงานลดลงมาอยู่ที่ 4.1% ส่งผลให้อุปสงค์น้ำมันในสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในระดับสูง

ทั้งนี้ หน่วยธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ ปตท. ประเมินแนวโน้มราคาน้ำมันในสัปดาห์นี้ ระหว่างวันที่ 7 – 11 ตุลาคม 2567 คาดว่า ราคาน้ำมันดิบจะยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลางและความไม่แน่นอนในภูมิภาค ทั้งนี้ สถานการณ์ทางเศรษฐกิจในประเทศผู้บริโภคน้ำมันรายใหญ่ก็จะยังคงเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อทิศทางราคาน้ำมันในตลาดโลก

สถานการณ์ตลาดน้ำมันประจำสัปดาห์วันที่ 30 ก.ย. – 4 ต.ค. 67 และแนวโน้มสัปดาห์วันที่ 7 – 11 ต.ค. 67
ตารางราคาน้ำมันเฉลี่ยรายสัปดาห์ [เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ]

ขณะที่ บริษัท ในกลุ่มปตท. อย่าง ไทยออยล์ คาดราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสในสัปดาห์นี้ จะเคลื่อนไหวที่กรอบ 70-80 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันดิบเบรนท์เคลื่อนไหวที่กรอบ 74-84 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล

สำหรับผลกระทบของราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้น

ราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นเป็นผลจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์และปัจจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง สามารถส่งผลกระทบในหลากหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นทางเศรษฐกิจ สังคม หรืออุตสาหกรรมทั่วโลก ซึ่งผลกระทบหลัก ๆ ได้แก่

1. ภาวะเงินเฟ้อ

ราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นส่งผลโดยตรงต่อราคาสินค้าและบริการต่าง ๆ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่ใช้พลังงานจำนวนมาก เช่น การผลิต การขนส่ง และการเดินทาง เมื่อราคาน้ำมันแพงขึ้น ต้นทุนการขนส่งและผลิตสินค้าเพิ่มขึ้น ทำให้ราคาขายปลายทางของสินค้าและบริการต้องปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งก่อให้เกิดภาวะเงินเฟ้อในระบบเศรษฐกิจทั่วโลก

  • ตัวอย่างเช่น ค่าใช้จ่ายในการขนส่งสินค้าและวัตถุดิบที่ต้องพึ่งพาการขนส่งทางเรือหรือรถบรรทุก จะเพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมัน
  • ผู้บริโภคต้องจ่ายค่าสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีราคาสูงขึ้น ทำให้กำลังซื้อของผู้บริโภคลดลง

2. ต้นทุนการผลิตของภาคอุตสาหกรรม

อุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น อุตสาหกรรมการผลิต การเกษตร และการก่อสร้าง ต้องใช้พลังงานในการดำเนินกิจกรรม เมื่อราคาน้ำมันดิบสูงขึ้น ต้นทุนการผลิตในอุตสาหกรรมเหล่านี้ก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย นอกจากนี้ การผลิตวัตถุดิบที่มีการพึ่งพาการขนส่งสินค้าก็จะได้รับผลกระทบไปด้วย

  • โรงงานที่ใช้พลังงานในการผลิตสินค้าต้องแบกรับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทมีความเสี่ยงในการรักษาผลกำไร หรืออาจต้องขึ้นราคาสินค้าหรือบริการเพื่อรองรับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น

3. ผลกระทบต่อราคาพลังงานและค่าน้ำมันในประเทศผู้บริโภค

การเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันดิบทำให้ราคาน้ำมันเบนซินและดีเซลในประเทศผู้บริโภคสูงขึ้นตามไปด้วย ส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้ใช้ยานพาหนะ และครัวเรือนที่ต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในประเทศที่ต้องนำเข้าน้ำมันจากต่างประเทศ เช่น ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงประเทศไทย

  • ครัวเรือนต้องจ่ายค่าน้ำมันแพงขึ้น ทำให้มีรายได้ที่เหลือใช้สำหรับการใช้จ่ายในส่วนอื่น ๆ ลดลง
  • ภาคขนส่ง เช่น รถบรรทุกและการขนส่งสาธารณะ ต้องรับภาระค่าน้ำมันที่สูงขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่การขึ้นราคาค่าขนส่ง

4. การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก

ราคาน้ำมันที่สูงส่งผลกระทบโดยตรงต่ออุปสงค์ของสินค้าและบริการทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศที่เป็นผู้ใช้น้ำมันมาก ความสามารถในการใช้จ่ายของผู้บริโภคจะลดลง การลงทุนในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ก็จะชะลอตัวตามไปด้วย เนื่องจากบริษัทต่าง ๆ ต้องเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้นและมีความเสี่ยงที่จะสูญเสียกำไร

  • การเติบโตทางเศรษฐกิจของหลายประเทศอาจชะลอตัว โดยเฉพาะในประเทศที่ต้องพึ่งพาการนำเข้าน้ำมัน
  • นักลงทุนอาจชะลอการลงทุนในโครงการที่เกี่ยวข้องกับการพึ่งพาน้ำมันมาก เช่น อุตสาหกรรมการบิน การขนส่ง และการผลิตสินค้า

5. ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและการบิน

อุตสาหกรรมการบินและการท่องเที่ยวเป็นอีกภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบอย่างมากจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น เนื่องจากค่าเชื้อเพลิงเป็นส่วนหนึ่งของต้นทุนหลักในการดำเนินงาน เมื่อราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้น สายการบินต้องแบกรับภาระต้นทุนที่สูงขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้ค่าตั๋วเครื่องบินปรับตัวสูงขึ้น ทำให้นักท่องเที่ยวต้องจ่ายค่าเดินทางมากขึ้น

  • จำนวนผู้โดยสารทางอากาศอาจลดลงเนื่องจากค่าตั๋วที่สูงขึ้น ทำให้ภาคการท่องเที่ยวอาจชะลอตัว
  • ธุรกิจการบินอาจต้องตัดสินใจปรับลดเที่ยวบิน หรือพยายามลดต้นทุนด้านอื่น ๆ เพื่อลดผลกระทบจากต้นทุนเชื้อเพลิงที่สูงขึ้น

6. ผลกระทบทางการเมืองและความมั่นคงของประเทศผู้ผลิตน้ำมัน

ประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ เช่น กลุ่ม OPEC+ มีบทบาทสำคัญในการกำหนดปริมาณการผลิตน้ำมัน เมื่อราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น กลุ่มประเทศเหล่านี้จะได้รับผลประโยชน์จากการส่งออกน้ำมันมากขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน ความขัดแย้งและการต่อรองทางการเมืองระหว่างประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคน้ำมันก็จะทวีความรุนแรงขึ้นด้วย

  • ราคาน้ำมันที่สูงอาจทำให้ประเทศผู้บริโภคน้ำมันหันไปพึ่งพาพลังงานทางเลือกมากขึ้น เช่น พลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม
  • ความขัดแย้งในภูมิภาคที่เป็นแหล่งผลิตน้ำมัน เช่น ตะวันออกกลาง อาจยิ่งรุนแรงขึ้นตามการแย่งชิงทรัพยากร

ดังนั้น เมื่อราคาน้ำมันแพงขึ้น ประเทศผู้นำเข้าน้ำมันจำเป็นต้องปรับตัวเพื่อลดผลกระทบทางเศรษฐกิจและความมั่นคงของพลังงาน โดยเฉพาะการประหยัดการใช้น้ำมัน รวมถึงใช้น้ำมันอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด เป็นต้น