ผู้ชมทั้งหมด 121
ในช่วงเวลาสำคัญที่โลกกำลังเตรียมก้าวเข้าสู่ปี 2568 ภาคธุรกิจการค้าและการลงทุนหลายบริษัททั่วโลก ต่างตั้งหลักทบทวนกลยุทธ์และแผนการดำเนินธุรกิจใหม่ เพื่อให้สอดรับกับบริบทต่างๆของโลกที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงไป
บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT บริษัทพลังงานยักษ์ใหญ่ของไทย และเป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจที่ดูแลความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศไทย ได้จัดทำ “Business outlook 2025” เพื่อสะท้อนถึงความพร้อมและความมุ่งมั่นขององค์กรที่จะเดินหน้าขยายการลงทุนในแต่ละธุรกิจ เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งของบริษัทในอนาคต
เริ่มด้วยการประเมินทิศทางอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ(GDP) โดยอ้างอิงข้อมูลจาก กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ที่คาดการณ์ว่า GDP โลก ปี2568 จะเติบโตระดับ 3.2% เท่ากับการเติบโตในปี 2567 จากปัจจัยบวกธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อเนื่อง ภาคบริการฟื้นตัวช่วยสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจ โดยเฉพาะจากประเทศพัฒนาแล้ว อย่างไรก็ตามจากนโยบายทางการคลังที่ภาครัฐจะหันมาใช้มาตรการรัดเข็มขัดที่มากขึ้น รวมถึงวิกฤตอสังหาริมทรัพย์ที่ยือดเยื้อของจีน ตลอดจนความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ในหลายภูมิภาคที่ยืดเยื้อ ยังเป็นปัจจัยกดดันการเติบโตของเศรษฐกิจโลก
ขณะที่ IMF คาดการณ์ GDP ไทย ในปี 2568 จะเติบโตที่ระดับ 3% เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ที่คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 2.8% โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง และคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจะกลับมาอยู่ในระดับใกล้เคียงกับช่วงก่อนเกิดการระบาดของโควิด-19 รวมถึงการส่งออกฟื้นตัวต่อเนื่อง จากการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และมาตรการการคลังที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมจากภาครัฐ อย่างไรก็ตาม การลงทุนภาคเอกชนที่ยังไม่ฟื้นตัว สภาพภูมิอากาศที่แปรปรวน รวมถึงหนี้ครัวเรือนที่ยังสูงจะกดดันการเติบโตของเศรษฐกิจไทย
ส่วนราคาก๊าซธรรมชาติ Henry Hub ปี2568 คาดว่าจะปรับเพิ่มขึ้น 30% โดยมีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 2.5-3.5 ดอลลาร์ต่อล้านบีทียู จากการที่สหรัฐฯส่งออกก๊าซธรรมชาติเหลว(LNG) เพิ่มขึ้น ทำให้ปริมาณการผลิต(ซัพพลาย)ในประเทศลดลง ขณะที่ในเอเชีย ราคา Spot LNG ตลาด JKM คาดว่า จะเพิ่มขึ้น 2% โดยมีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 11.5-12.5 ดอลลาร์ฯต่อล้านบีทียู จากความต้องการใช้(ดีมานด์)ที่เพิ่มสูงขึ้นตามความต้องการใช้ในฤดูหนาว และการนำเข้าLNG จากตะวันออกกลางที่มีความเสี่ยงทำให้ต้นทุนการเดินเรือเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยกดดันจากปริมาณสำรองในยุโรปและเอเชียที่อยู่ในระดับสูง รวมถึงซัพพลายLNG ที่เพิ่มขึ้นจากโครงการใหม่ๆที่เริ่มเปิดเดินเครื่องการผลิต
ด้านราคาน้ำมันดูไบ ในปี 2568 มีแนวโน้มอ่อนตัวลง 6% อยู่ที่ระดับ 70-80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จากซัพพลายที่เพิ่มขึ้นแผนยกเลิกลดกำลังการผลิตน้ำมันของกลุ่มโอเปกพลัส (OPEC+)และการผลิตที่เพิ่มขึ้นของกลุ่มนอนโอเปก( Non OPEC) รวมถึงกำลังการผลิตน้ำมันดิบสำรองในตะวันออกกลาง และการเริ่มดำเนินการผลิตของโรงกลั่นฯใหม่ อย่างไรก็ตาม คาดการณ์ว่า จะเกิดการฟื้นตัวของดีมานด์ทั่วโลกในปี 2568 หลังการปรับลดอัตราดอกเบี้ย
ส่วนราคาน้ำมันเตา คาดว่า จะปรับลดลง 9% อยู่ที่ระดับ 63-73 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ตามทิศทางราคาน้ำมันดิบดูไบ รวมถึงการบังคับใช้กฎระเบียบใหม่ ลดการปล่อยก๊าซซัลเฟอร์ที่จะเริ่มขึ้นในเดือนพ.ค.ปี 2568 ในบางพื้นที่
ด้านค่าการกลั่น (GRM) ตลาดสิงคโปร์ ในปี 2568 คาดว่าจะอ่อนตัวลง 11% อยู่ที่ระดับ 3.7-4.7 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขณะที่ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์(สเปรด)ลดลง โดยเฉพาะแก๊สโซลีนและแก๊สออยล์ ที่ได้รับแรงกดดันจากซัพพลายที่มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นจากการเปิดเดินเครื่องโรงกลั่นฯใหม่
ส่วนราคาปิโตรเคมี ปี 2568 ยังเผชิญความกดดันโดยดีมานด์ฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปและมีแรงกดดันจากซัพพลายใหม่ในจีน รวมถึงปัจจัยความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ส่งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจโลก ค่าขนส่งทางเรือและวัตถุดิบสูงขึ้น แม้ซัพพลายจากตะวันออกกลางจะลดลงตามการหยุดชะงักของการขนส่งจากความตึงเครียดในทะเลแดง โดยคาดหวังว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในหลายประเทศ รวมถึงจีนจะช่วยสนับสนุนราคาปิโตรเคมี
สำหรับ “Business outlook 2025” แนวโน้มผลการดำเนินงานรายธุรกิจของ ปตท. ปี2568 ประเมินว่า
กลุ่ม Upstream ประกอบด้วย
ธุรกิจสำรวจและผลิต (E&P) คาดว่าจะมีปริมาณการขายเฉลี่ยปรับเพิ่มขึ้น จากปริมาณการขายในประเทศ หลังจากโครงการG1(แหล่งเอราวัณ) สามารถเพิ่มกำลังผลิตแตะระดับ 800 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน รวมถึงแหล่งยาดานา ตามปริมาณขายสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ ปตท.สผ. ยังสามารถรักษาต้นทุนต่อหน่วยให้อยู่ในระดับที่แข่งขันได้ อย่างไรก็ดี คาดว่าราคาขายเฉลี่ยจะปรับลดลง ตาดคาการณ์ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับลดลง
ธุรกิจก๊าซธรรมชาติ คาดว่ากำลังผลิตรวมของโรงแยกก๊าซฯ จะฟื้นตัวตามปริมาณการผลิตของก๊าซฯในอ่าวไทยที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ต้นทุนก๊าซฯ ยังทรงตัวระดับใกล้เคียงกับปี 2567 ทั้งในราคาก๊าซฯอ่าวไทยและเมียนมารวมถึงความต้องการใช้ก๊าซฯในประเทศคาดปรับตัวเพิ่มขึ้นตามกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวจากภาคท่องเที่ยวและภาคบริการ
กลุ่ม Dowstream ประกอบด้วย
ธุรกิจน้ำมัน ที่ดำเนินการโดย OR คาดปริมาณการขายปรับเพิ่มขึ้น จากการออกโปรโมชั่นส่งเสริมการขาย และกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวตามคาดการณ์GDP
ธุรกิจโรงกลั่นน้ำมัน คาดว่า ยังได้รับแรงกดดันจากกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นในปี 2568 โดยส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์(สเปรด)และค่าการกลั่น (GRM) อาจปรับตัวลดลง ซึ่งคาด GRM ตลาดสิงคโปร์ จะอยู่ที่ 3.7-4.7 ดอลลาร์ฯต่อบาร์เรล ขณะที่กำลังการผลิตจะลดลงจากแผนหยุดซ่อมบำรุงของหลายโรงกลั่นฯที่เพิ่มขึ้นในปี 2568
ธุรกิจปิโตรเคมี คาดว่า ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์(สเปรด) สายอะโรเมติกส์ อาจลดลงเล็กน้อยจากความต้องการผลิตภัณฑ์ปลายทางที่ยังอ่อนแอ รวมถึงซัพพลายใหม่ที่จะเข้าตลาดในปี 2568 เป็นปัจจัยกดดันราคา ส่วนสายโอเลฟินส์ คาดว่า สเปรดยังเผชิญความท้าทายเช่นกัน โดยการฟื้นตัวของดีมานด์ยังคงจำกัดจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก รวมถึงซัพพลายที่มีกำลังผลิตใหม่เข้ามาต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม คาดหวังว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในหลายประเทศจะทำให้ดีมานด์และราคาปรับเพิ่มขึ้นได้ในปี 2568 ขณะที่การใช้อัตราการผลิตของโรงโอเลฟืนส์ปี 2568 จะเพิ่มขึ้นตามการปิดซ่อมบำรุงที่น้อยกว่าปี 2567
นอกจากนี้ ธุรกิจไฟฟ้า ของ GPSC คาดว่า ดีมานด์ไฟฟ้าในประเทศจะฟื้นตัว จากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้น รวมถึงมาร์จิ้นมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น จากต้นทุนไฟฟ้าที่ใช้ถ่านหินมีราคาลดลง
ด้านธุรกิจ Lifescience คาดว่า ในปี 2568 จะยังรักษาปริมาณการจำหน่ายยาทั้งในสหรัฐฯและเอเชีย ไว้ได้ในระดับเดิม
นายธนพล ประภาพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT ระบุว่า ทิศทางผลการดำเนินงานในปี 2568 ของ ปตท. คาดว่า จะยังคงเติบโตขึ้น เมื่อเทียบกับปี2568 ปัจจัยหลักมาจากปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้น ตามความต้องการใช้ที่เพิ่มขึ้น จากทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ส่วนราคาผลิตภัณฑ์ ยังต้องติดตามดูทิศทางว่าจะเป็นอย่างไร
ปัจจุบัน กลุ่ม ปตท.อยู่ระหว่างจัดทำแผนลงทุนระยะ 5 ปีใหม่ (ปี 2568-2572) เพื่อให้สอดรับกับการปรับกลยุทธ์และแผนดำเนินธุรกิจใหม่ คาดว่า จะมีความชัดเจนภายในเดือน ธ.ค.2567 ขณะที่ผลการดำเนินงานในปี 2567 คาดว่า รายได้จะใกล้เคียงกับปี 2566 ที่ทำได้ระดับ 3,185,256 ล้านบาท หลังช่วง 9 เดือนของปี 2567สามารถทำรายได้แล้ว 2,366,080 ล้านบาท เติบโต 1% จากช่วงเดียวกันปี2566 และคาดช่วงไตรมาส 4 ปี 2567 ทิศทางราคาพลังงานจะอ่อนตัวลงเล็กน้อย
เชื่อได้ว่า การประกาศงบลงทุนระยะ 5 ปีใหม่(ปี 2568-2572) ของ ปตท. ที่จะมีความชัดเจนออกมาในเดือน ธ.ค.2567 ซึ่งมุ่งเน้นการจัดสรรงบประมาณให้สอดรับกับพอร์ตการลงทุนใหม่ ตอบโจทย์ทิศทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไป ทั้งในด้านพลังงานสะอาด การขยายธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี และการสร้างความยั่งยืนในระยะยาว จะทำให้นักลงทุนมั่นใจในความพร้อมและศักยภาพของ ปตท. ที่จะขับเคลื่อนการเติบโตและสร้างผลตอบแทนที่มั่นคงในปี 2568 และอนาคตต่อไป