ผู้ชมทั้งหมด 1,655
บี.กริม เพาเวอร์ จัดพิธีวางศิลาฤกษ์ โรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม แหลมฉบัง 1 กำลังผลิต 140 เมกะวัตต์ ซึ่งเป็น 1 ในจำนวน 5 โครงการที่เป็น SPP Replacement พร้อมเดินหน้าขายไฟฟ้าให้ กฟผ. และลูกค้าอุตสาหกรรมรองรับ EEC ปี 65
นายฮาราลด์ ลิงค์ ประธาน บี.กริม และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM หนึ่งในผู้บุกเบิกอุตสาหกรรมการผลิตไฟฟ้าภาคเอกชนรายใหญ่ที่สุดของประเทศ เป็นประธานพิธีวางศิลาฤกษ์ โรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ (แหลมฉบัง) 1 จำกัด ในวันศุกร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ 2564 เวลา 9.59 น. ณ นิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี
นายฮาราลด์ ลิงค์ กล่าวว่า โครงการโรงไฟฟ้าบี.กริม เพาเวอร์ (แหลมฉบัง) 1 นั้นเป็นโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วมที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง ภายใต้รูปแบบโรงไฟฟ้าสำหรับภาคอุตสาหกรรม (Small Power Producer หรือ SPP) เป็นการดำเนินการตามแผนการสร้างโรงไฟฟ้าเพื่อทดแทน (SPP Replacement) โรงไฟฟ้าที่กำลังจะหมดอายุสัญญา โดยบี.กริม เพาเวอร์ อยู่ระหว่างการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมในพื้นที่ EEC รวมทั้งสิ้น 5 โครงการ โครงการละ 140 เมกะวัตต์ รวมกำลังการผลิต 700 เมกะวัตต์ โดยมีกำหนดการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) ในปี 2565
ทั้งนี้โครงการดังกล่าวแบ่งเป็นการจำหน่ายไฟฟ้าให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) จำนวน30 เมกะวัตต์ต่อโครงการ ภายใต้สัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) ระยะเวลา 25 ปี และส่วนที่เหลือเป็นการจำหน่ายไฟฟ้าและไอน้ำให้กับลูกค้าอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นการสร้างเพื่อทดแทนโครงการเดิมด้วยเทคโนโลยีใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูง และคาดว่าจะลดอัตราการใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติได้ถึงร้อยละ 10-15 เมื่อเทียบกับโครงการเดิมที่กำลังจะหมดอายุสัญญาลง
สำหรับโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วม SPP Replacement เพื่อสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทย อาทิเช่น กลุ่มยานยนต์ ยางรถยนต์ บรรจุภัณฑ์ ก๊าซอุตสาหกรรม เคมีภัณฑ์ มาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2544 เพื่อให้ภาคอุตสาหกรรมในพื้นที่โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC นี้ได้รับการสนับสนุนไฟฟ้าและไอน้ำที่มีเสถียรภาพในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง
อนึ่งในปัจจุบัน บี.กริม เพาเวอร์ มีโครงการที่เปิดดำเนินการแล้วทั้งหมด 48 โครงการ รวมกำลังการผลิต 3,058 เมกะวัตต์ หากรวมโครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้างและพัฒนาจะทำให้กำลังการผลิตขยายเป็น 3,682 เมกะวัตต์ โดยภายในปี 2568 มีเป้าหมายขยายกำลังการผลิตเป็น 7,200 เมกะวัตต์ จากทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการเจรจาและศึกษา คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในอนาคตอันใกล้