ผู้ชมทั้งหมด 20,161
ก้าวเข้าสู่เดือนที่ 8 แล้ว หลังจากช่วงต้นปี 2566 บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP ประกาศดีลใหญ่ “ผ่องถ่ายสินทรัพย์บริษัทพลังงานข้ามชาติมาเป็นของประเทศไทย” ด้วยเข้าซื้อหุ้นสามัญในสัดส่วน 65.99% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดของ บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (“เอสโซ่”) จาก ExxonMobil Asia Holdings Pte. Ltd. (“ExxonMobil”) โดยมีมูลค่ากิจการ 55,500 ล้านบาท
แต่ปัจจุบันดีลดังกล่าวจะยังไม่เสร็จสิ้นลง เนื่องจากที่ประชุมคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (บอร์ด กขค.) เมื่อวันที่ 18 ก.ค. 2566 พิจารณาอนุญาตให้มีการควบรวมกิจการระหว่างเอสโซ่และบางจากฯ แบบมีเงื่อนไข ประมาณ 6 ข้อ โดยคำนึงถึงข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ตามมาตรา 52 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2560 แล้ว เห็นว่าการรวมธุรกิจดังกล่าวมีความจำเป็นตามควรทางธุรกิจและเป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริมการประกอบธุรกิจ ไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อเศรษฐกิจอย่างร้ายแรง
อย่างไรก็ตาม การรวมธุรกิจดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อตลาดน้ำมันเชื้อเพลิงและผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม รวมทั้งห่วงโซ่อุปทาน เนื่องจากการรวมธุรกิจดังกล่าวส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อโครงสร้างตลาดโรงกลั่นน้ำมัน ตลาดการค้าส่งผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม และตลาดการค้าปลีกผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมผ่านสถานีบริการ ทำให้การกระจุกตัวของตลาดเพิ่มขึ้น ถือเป็นการลดการแข่งขันอย่างมีนัยสำคัญ แต่ไม่ถึงระดับที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อเศรษฐกิจอย่างร้ายแรง จึงเห็นควรอนุญาตให้รวมธุรกิจระหว่างบางจากกับเอสโซ่
นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท บางจาก และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือBCP กล่าวว่า บริษัทอยู่ระหว่างศึกษารายละเอียดเงื่อนไขที่คณะกรรมการแข่งขันการค้ากำหนด โดยจะเชิญผู้เชี่ยวชาญมาวิเคราะห์คำสั่งและปรึกษาหารือก่อนจะมีข้อสรุป ซึ่งจะแจ้งให้ทราบในภายหลัง โดยหากบริษัทไม่เห็นด้วยกับคำสั่งและเงื่อนไขของ กขค.ก็สามารถยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองภายใน 60 วันนับจากวันที่ได้รับคำสั่ง ซึ่งก็ยังอยู่ในช่วงกำหนดเวลาที่บริษัทตั้งเป้าไว้ว่าดีลซื้อเอสโซ่จะแล้วเสร็จภายในไตรมาส 4 ปีนี้ อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าไม่ล้มดีลซื้อเอสโซ่อย่างแน่นอน
“บางจากฯ มั่นใจดีลซื้อเอสโซ่ จะสร้างรายได้ทันที 2,000 ล้านบาท จากสถานีบริการน้ำมันที่จะมีรวมกัน 2,100 แห่ง ขยับขึ้นแท่นผู้ค้าน้ำมันเบอร์ 2 ของประเทศ และภายหลังจ่ายเงินซื้อหุ้นเรียบร้อยแล้ว จะทยอยเปลี่ยนแบรนด์ “เอสโซ่” เป็น “บางจาก” ภายใน 2 ปี พร้อมรับปากสัญญาธุรกิจ พนักงาน ยังคงดูแลเหมือนเดิม เพื่อเดินหน้าธุรกิจสร้างความยั่งยืน”
ส่วนราคาสุดท้ายในการซื้อขายหุ้นเอสโซ่นั้น ยังต้องรอหลังปิดงบไตรมาส 2/2566 ออกมาก่อน คาดว่าจะอยู่ช่วงกลางเดือน ส.ค.นี้ จากนั้นคาดว่า จะสามารถปิดดีลได้ตามแผนช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ และภายหลังจากกระบวนการจ่ายเงินให้บริษัทเอ็กซอนโมบิล (ExxonMobil) เสร็จสิ้น ก็จะสามารถบันทึกรายได้จาก เอสโซ่ เข้ามาทันที
สำหรับเงื่อนไขที่ กขค. กำหนดมี 6 ข้อ ประกอบด้วย 1. ห้ามมิให้บางจากฯ เพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นของหน่วยงานภาครัฐ เป็นระยะเวลา 5 ปี นับแต่วันที่รวมธุรกิจแล้วเสร็จ เว้นแต่มีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น
2. ให้บางจากฯ จัดซื้อน้ำมันดิบจากคู่ค้ารายใดรายหนึ่งไม่เกินกว่าร้อยละ 50 เป็นระยะเวลา 5 ปี นับแต่วันที่รวมธุรกิจแล้วเสร็จ เพื่อลดการพึ่งพาน้ำมันดิบจากรายใดรายหนึ่งมากเกินไป ซึ่งอาจเสี่ยงต่อความมั่นคงทางพลังงาน เว้นแต่เป็นการจัดซื้อน้ำมันดิบจากผู้ประกอบธุรกิจที่มีความสัมพันธ์กันทางนโยบายหรืออำนาจสั่งการของบางจาก
3. ให้บางจากฯ คงไว้ซึ่งเงื่อนไขของสัญญาและข้อตกลงระหว่างลูกค้าในตลาดค้าส่งผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมที่ได้ทำไว้กับบริษัท เอสโซ่ จนกว่าจะครบกำหนดระยะเวลาตามเงื่อนไขในสัญญาเดิม
ทั้งนี้ หากมีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขของสัญญาและข้อตกลง ต้องได้รับความยินยอมล่วงหน้าเป็นลายลักษณ์อักษรจากลูกค้าในตลาดค้าส่งผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมรายนั้นด้วย
4. ให้บางจากฯ คงไว้ซึ่งเงื่อนไขของสัญญาและข้อตกลงระหว่างผู้ประกอบธุรกิจสถานีบริการภายนอกของแบรนด์ ESSO ที่ได้ทำไว้กับบริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) จนกว่าจะครบกำหนดระยะเวลาตามเงื่อนไขในสัญญาเดิม ทั้งนี้ หากมีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขของสัญญาและข้อตกลง ต้องได้รับความยินยอมล่วงหน้าเป็นลายลักษณ์อักษรจากผู้ประกอบธุรกิจสถานีบริการภายนอกของแบรนด์ ESSO รายนั้นด้วย หากผู้ประกอบธุรกิจสถานีบริการภายนอกของแบรนด์ ESSO มีข้อเท็จจริงที่พิสูจน์ได้ว่าได้รับผลกระทบจากการรวมธุรกิจดังกล่าวสามารถใช้เป็นเหตุผลในการบอกเลิกสัญญาได้ โดยต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้าภายใน 90 วัน นับแต่วันที่รวมธุรกิจแล้วเสร็จ
5. ให้บางจากฯ จัดทำแผนการพัฒนานวัตกรรมด้านสิ่งแวดล้อมและธุรกิจพลังงานสีเขียว โดยต้องดำเนินโครงการไม่น้อยกว่าในปีที่ผ่านมา และต้องมีงบประมาณในการดำเนินโครงการที่เกี่ยวกับการส่งเสริมพลังงานสีเขียวและการจัดการสิ่งแวดล้อม ไม่น้อยกว่าในปีที่ผ่านมา ต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 5 ปี นับแต่วันที่รวมธุรกิจแล้วเสร็จ
6. ให้บางจากฯ จัดทำแผนการส่งผ่านประโยชน์ที่ได้รับจากการรวมธุรกิจไปสู่ผู้บริโภคและสังคม โดยต้องดำเนินโครงการไม่น้อยกว่าในปีที่ผ่านมาต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 5 ปี นับแต่วันที่รวมธุรกิจแล้วเสร็จ เพื่อเป็นหลักประกันการส่งผ่านประโยชน์ไปยังผู้บริโภคและสังคม ซึ่งรวมถึงผู้ประกอบธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ด้วย พร้อมทั้งจัดทำแนวทางปฏิบัติ กรอบเวลาดำเนินการ ตัวชี้วัด และให้ปฏิบัติตามแผนการดังกล่าว โดยให้จัดทำแผนการดำเนินงานเสนอต่อคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้าภายใน 90 วัน นับแต่วันที่รวมธุรกิจแล้วเสร็จ
ก่อนหน้านี้ บางจากฯ ยอมรับว่าโรงกลั่นบางจาก มีกำลังการกลั่นที่ 1.23 แสนบาร์เรลต่อวัน ไม่เพียงพอต่อการจำหน่ายผ่านสถานีบริการบางจากฯ ที่ต้องการจำหน่าย 1.43 แสนบาร์เรล/วัน ทำให้ต้องมีการนำเข้าน้ำมันจากต่างประเทศบางส่วน
ดังนั้น การเข้าซื้อเอสโซ่ ครั้งนี้ บางจากฯ คาดหวังผลจากการ Synergy ร่วมกันกับ เอสโซ่ โดยคาดว่า จะเกิดการประหยัด ประมาณ 1,500-2,000 ล้านบาทต่อปี และบางจากฯ จะมีศักยภาพเพิ่มขึ้นจากการมี โรงกลั่นน้ำมันกำลังการกลั่น 174,000 บาร์เรลต่อวัน เครือข่ายคลังน้ำมัน และสถานีบริการน้ำมันทั่วประเทศกว่า 700 แห่ง ทำให้บางจากฯ มีกำลังการกลั่นน้ำมันรวม 294,000 บาร์เรลต่อวัน และเครือข่ายสถานีบริการกว่า 2,100 แห่ง สามารถดำเนินธุรกิจโรงกลั่นได้ครบวงจรมากขึ้น
บางจากฯ ขอย้ำว่า การซื้อกิจการของเอสโซ่ครั้งนี้ จะไม่เป็นการผูกขาดธุรกิจ เพราะหากพิจารณาจากจำนวนปั๊มน้ำมันในประเทศไทย ที่มีอยู่ราว 20,000 แห่งทั่วประเทศนั้น บางจากฯ รวมกับเอสโซ่แล้ว ก็มีปั๊มในส่วนส่วน 7.5% เท่านั้น ขณะที่มาร์เก็ตแชร์ ก็อยู่ที่ราว 29.1% ยังเป็นเบอร์ 2 ของประเทศ โดยบางจากฯ จะทยอยเปลี่ยนโลโก้ปั๊ม เอสโซ่ เป็นโลโก้ใหม่ของบางจาก ในปี 2567 ขณะที่ ExxonMobil จะยังคงดำเนินธุรกิจนำเข้าผลิตภัณฑ์หล่อลื่นและเคมีภัณฑ์ในประเทศไทยต่อไป
ทั้งนี้ ดีลซื้อกิจการเอสโซ่ฯของบางจาก เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 11 ม.ค. 2566 ที่ประชุมคณะกรรมการบางจากฯ เห็นชอบให้เข้าซื้อหุ้นสามัญโดยตรง จำนวน 2,283,750,000 หุ้นใน บมจ.เอสโซ่ (ประเทศไทย) (ESSO) หรือคิดเป็นราว 65.99% จากบริษัท Exxon Mobil Asia Holdings Pte.Ltd. และบางจากฯ จะต้องทำคำเสนอซื้อหุ้นที่เหลือทั้งหมดไม่เกิน 1,177,108,000 หุ้น หรือคิดเป็น 34.01% ในราคาเดียวกัน โดยบางจากตั้งงบในการซื้อ ESSO อยู่ที่ 5.5 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นการซื้อหุ้น ESSO ราว 3 หมื่นล้านบาท และหนี้สินกว่า 2 หมื่นล้านบาท