ซีอีโอ ปตท.เชื่อมั่นปี64เศรษฐกิจฟื้นหนุนผลงานแจ่ม

ผู้ชมทั้งหมด 916 

ซีอีโอ ปตท. เชื่อมั่นปี 64 เศรษฐกิจฟื้น พร้อมอัดงบลงทุน 5 ปี 8.5 แสนล้านบาทลุยลงทุนต่อเนื่องโครงการใหญ่ ขณะที่ผลงานปี 63 กำไรสุทธิ 3.7 หมื่นล้านบาทลดลง 5.5 หมื่นล้านบาทเมื่อเทียบกับปี 62 ที่มีกำไรสุทธิ 9.2 หมื่นล้านบาท

นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์  ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่  บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT เปิดเผยว่า แนวโน้มปี 2564 ตนเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจไทยจะกลับมาฟื้นตัวภายใต้ 3 เงื่อนไข คือ ไม่เร็ว ยังต้องใช้เวลากว่าจะกลับมาฟื้นตัวเท่ากับปี 2562  ไม่ทั่วถึง เพราะการฟื้นตัวในแต่ละภาคธุรกิจ จะไม่เท่ากัน และยังมีความไม่แน่นอนจากสถานการณ์การควบคุมโรคและวัคซีนป้องกัน COVID-19 โดย ปตท. พร้อมร่วมขับเคลื่อนด้วยการสร้างความเข้มแข็งด้านพลังงาน ยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน และพัฒนาเทคโนโลยี นวัตกรรม เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนไทยให้เติบโตไปด้วยกัน ตามกรอบแนวคิด ‘Powering Thailand’s Transformation

แผนวิสาหกิจ 5 ปีอัดงบลงทุน 8.5 แสนล้าน

ส่วนของแผนวิสาหกิจ 5 ปี (พ.ศ. 2564-2568)  กลุ่ม ปตท. เตรียมแผนลงทุนในวงเงินรวม 850,573 ล้านบาท (ไม่รวมโครงการที่กำลังอยู่ระหว่างการลงทุนหรือแสวงหาโอกาสในการลงทุน) เพื่อลงทุนในธุรกิจหลักเช่น โรงแยกก๊าซธรรมชาติหน่วยที่ 7 เพื่อทดแทนโรงแยกก๊าซธรรมชาติหน่วยที่ 1  โครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติบนบกเส้นที่ 5 การขยายขีดความสามารถของ LNG Receiving Terminal แห่งที่ 2 (หนองแฟบ) และโครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุดระยะที่ 3

นอกจากนี้ ยังได้จัดเตรียมงบลงทุนในอนาคต (Provisional Capital Expenditure) ในระยะ 5 ปีข้างหน้า จำนวน 804,202 ล้านบาท เพื่อการขยายการลงทุนธุรกิจก๊าซธรรมชาติเหลวครบวงจร (LNG Value Chain) ทั้งในประเทศและต่างประเทศ และการเชื่อมต่อระหว่างธุรกิจก๊าซธรรมชาติสู่ธุรกิจผลิตไฟฟ้า (Gas-to-Power)  ห่วงโซ่ธุรกิจพลังงานไฟฟ้า (Electricity Value Chain) ธุรกิจพลังงานหมุนเวียนและเทคโนโลยีด้านพลังงาน เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมถึงการมุ่งสู่ธุรกิจใหม่ในกลุ่ม Life science เพื่อความมั่นคงด้านสุขภาพของคนไทย

ผลงานปี63กำไรลด 5.5 หมื่นล้านบาท

ส่วนผลประกอบการปี 2563 ของตปท.และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิจำนวน 37,766 ล้านบาท ลดลง 55,185 ล้านบาท หรือร้อยละ 59.4 เมื่อเทียบกับนปี 2562 และกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย ต้นทุนทางการเงิน และภาษีเงินได้ (EBITDA) จำนวน 225,672 ล้านบาท ลดลง 63,300 ล้านบาท หรือร้อยละ 21.9 ในปี 2562

ทั้งนี้ผลประกอบการที่ปรับตัวลดลงนั้นโดยหลักมาจากธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมที่ผลการดำเนินงานปรับลดลงตามราคาขายเฉลี่ยที่ลดลง ประกอบกับผลการดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่นที่ลดลงอย่างมาก ประกอบกับการขาดทุนของค่าการกลั่นรวมผลกระทบจากสต๊อกน้ำมันในปี 2563 ตามราคาน้ำมันดิบที่ปรับลดลงอย่างมากจาก ณ สิ้นปี 2562 ที่ 67.3 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ 51.1 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ณ สิ้นปี 2563 นอกจากนี้กลุ่มธุรกิจก๊าซธรรมชาติมีผลการดำเนินงานลดลง โดยหลักจากธุรกิจโรงแยกก๊าซฯ เนื่องจากราคาขายที่ลดลงตามราคาปิโตรเคมีอ้างอิงในตลาดโลกปรับลดลงและปริมาณขายที่ลดลงจากผลกระทบ COVID-19 และตามการปิดซ่อมบำรุงและปรับลดกำลังการผลิตให้เหมาะสมตามอุปสงค์ของลูกค้าในปี 2563  

ส่วนผลประกอบการในไตรมาส 4/2563 มี EBITDA จำนวน 71,614 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4,149 ล้านบาท หรือร้อยละ 6.1 เทียบกับไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น โดยเฉพาะธุรกิจปิโตรเคมีที่ได้รับแรงสนับสนุนจากอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นตามสภาพเศรษฐกิจโดยรวมที่ฟื้นตัวขึ้นและนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของหลายประเทศ รวมถึงการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญในด้านสุขอนามัย  การทำงานที่บ้าน และการเดินทางโดยรถยนต์ส่วนตัว

ขณะที่กลุ่มธุรกิจก๊าซธรรมชาติมีผลการดำเนินงานดีขึ้นจากธุรกิจโรงแยกก๊าซธรรมชาติ ตามต้นทุนเนื้อก๊าซฯ ที่ปรับลดลง และราคาขายเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้นทุกผลิตภัณฑ์ตามราคาปิโตรเคมีอ้างอิงในตลาดโลก ในส่วนของผลการดำเนินงานของธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมปรับลดลงตามราคาขายเฉลี่ยที่ลดลง แม้ปริมาณขายจะปรับตัวเพิ่มขึ้น ส่วนกำไรสุทธิของ ปตท. ในไตรมาส 4/2563 มีกำไรสุทธิ จำนวน 13,147 ล้านบาท ลดลง 973 ล้านบาท หรือร้อยละ 6.9 เทียบกับไตรมาสก่อนหน้า