ผู้ชมทั้งหมด 553
กลุ่มบ้านปู ลุยเดินหน้าลงทุนตามกลยุทธ์ Greener & Smarter เร่งขยายพอร์ตพลังงานสะอาด ปี 65 อัดงบลงทุน 1,300 ล้านเหรียญฯ เล็งซื้อเหมืองแร่ในออสเตรเลีย อินโดนีเซีย ขยายลงทุนแหล่งพลังงาน ลุยลงทุนธุรกิจไฟฟ้า และเทคโนโลยีพลังงาน
นางสมฤดี ชัยมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) หรือ BANPU เปิดเผยว่า ในปี 2565 กลุ่มบ้านปู ยังคงเดินหน้าสร้างการเติบโตตามกลยุทธ์ Greener & Smarter ใน 3 กลุ่มธุรกิจหลัก คือ กลุ่มธุรกิจแหล่งพลังงาน กลุ่มธุรกิจผลิตพลังงาน และกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีพลังงาน โดยเตรียมงบลงทุน 1,300 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งในจำนวนนี้จะใช้สำหรับการลงทุนใน กลุ่มธุรกิจแหล่งพลังงาน (Energy Resources) ราว 500 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งจะเน้นขยายการลงทุนในธุรกิจผลิตก๊าซธรรมชาติในสหรัฐอเมริกา และมองหาโอกาสการลงทุนในเหมืองแร่ ลิเทียม (Lithium) เหมืองแร่นิกเกิล (Nickel) ในประเทศออสเตรเลีย และอินโดนีเซีย เพื่อต่อยอดในธุรกิจแบตเตอรี่ของกลุ่มบ้านปู
ขณะที่ธุรกิจถ่านหินในปีนี้จะยังคงกำลังการผลิตเท่าเดิมประมาณ 42 – 43 ล้านตัน ใกล้เคียงกับปีก่อน โดยจะเป็นการผลิตของบ้านปูเองที่ 40 ล้านตัน และอีกประมาณ 2-3 ล้านตันเป็นการซื้อถ่านหินจากแหล่งอื่นมาผสม เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพมากขึ้นและเหมาะกับลูกค้าแต่ละราย
สำหรับ ธุรกิจผลิตพลังงาน (Energy Generation) ใช้งบลงทุนราว 700 ล้านเหรียญสหรัฐ จะเป็นการลงทุนทั้งโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วมที่ใช้เทคโนโลยีการผลิตที่มีประสิทธิภาพสูงและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (High Efficiency, Low Emissions: HELE) ราว 300 ล้านเหรียญสหรัฐ และพลังงานทดแทน 400 ล้านเหรียญสหรัฐ
ธุรกิจผลิตไฟฟ้านั้นจะขยายการลงทุนตามฐานการผลิตของบ้านปู ทั้งในประเทศญี่ปุ่น จีน เวียดนาม อินโดนีเซีย ออสเตรเลีย และสหรัฐอเมริกา โดยในปีนี้มีเป้าหมายขยายกำลังการผลิตเพิ่มอีกราว 841 เมกะวัตต์ ใกล้เคียงกับปี 2564 จากปัจจุบันมีกำลังการผลิตไฟฟ้าที่อยู่ในมือรวม 4,142 เมกะวัตต์
ส่วนงบลงทุนที่เหลืออีก 100 ล้านเหรียญสหรัฐใช้สำหรับการลงทุนใน ธุรกิจเทคโนโลยีพลังงาน (Energy Technology) ของบริษัท บ้านปู เน็กซ์ จำกัด ก็มีทิศทางการเติบโตอย่างต่อเนื่อง หลายธุรกิจมีการเติบโตเป็นไปตามเป้าหมาย โดยมุ่งสร้างการเติบโตแบบก้าวกระโดด (Scale Up) ขยายขอบเขตการให้บริการด้านพลังงานที่มีอยู่ ได้แก่ ยานยนต์ไฟฟ้า การผลิตแบตเตอรี่ การจัดการพลังงานและของเสีย (Energy and Waste Management) ควบคู่กับการเข้าลงทุนและพัฒนาบริการที่เกี่ยวข้องกับพลังงานรูปแบบใหม่ พร้อมกับมุ่งเน้นที่การสร้างศักยภาพทางธุรกิจ และรวมทั้งสร้างแพลตฟอร์มดิจิทัลในการสร้างพลังร่วมระหว่างธุรกิจเดิมกับธุรกิจใหม่ เพื่อตอบโจทย์ความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีพลังงานในอนาคต อย่างไรก็ตามงบลงทุนในปี 2565 นั้นส่วนหนึ่งมาจากเงินสดในมือราว 1,074 ล้านเหรียญสหรัฐ และส่วนหนึ่งมาจากการออกหุ้นกู้ 1.2 หมื่นล้านบาท
ขณะที่ผลประกอบของปี 2565 บริษัทฯ ยังมั่นใจว่าจะเติบโตดีกว่าปี 2564 ที่มีรายได้จากการขาย 4,124 ล้านเหรียญสหรัฐ มีกำไรสุทธิ 304 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งในปีนี้ยังคาดว่าจะมีการเติบโตที่ดีตามการเติบโตของราคาพลังงานทั่วโลกปรับตัวสูงขึ้นจากความต้องการใช้พลังงานก๊าซธรรมชาติ และถ่านหินที่เติบโตขึ้น จากการฟื้นตัวของภาคเศรษฐกิจ ส่งผลต่อความต้องการที่เพิ่มมากขึ้น ทั้งจากการผลิตไฟฟ้า และภาคอุตสาหกรรม โดยราคาถ่านหินในปัจจุบันเฉลี่ยในระดับ 380 – 400 เหรียญสหรัฐต่อตัน ส่วนราคาก๊าซธรรมชาติในประเทศสหรัฐอเมริกา ปัจจุบันมีราคาขายท้องถิ่นเฉลี่ยที่ 4.7 เหรียญสหรัฐต่อพันลูกบาศก์ฟุต (Mcf)
“ทิศทางต่อจากนี้ บ้านปูยังคงเดินหน้าขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านองค์กร (Banpu Transformation) ภายใต้กลยุทธ์ Greener & Smarter และการยึดมั่นในหลัก ESG เรามั่นใจว่า ด้วยประสบการณ์และการเรียนรู้จากช่วงเวลาแห่งความท้าทายตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ทำให้บ้านปูสามารถเพิ่มอัตราเร่งกระบวนการ Digital Transformation ซึ่งนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน ควบคู่ไปกับการขยายพอร์ตฟอลิโอพลังงานที่สะอาดขึ้นได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เพื่อการบรรลุเป้าหมาย EBITDA จากธุรกิจพลังงานที่สะอาดและธุรกิจเทคโนโลยีพลังงานขึ้นมากกว่า 50% และเป้าหมายกำลังการผลิตไฟฟ้า 6,100 เมกะวัตต์ ภายในปี 2568” นางสมฤดี กล่าว