กลุ่มบางจากฯ ยันพร้อมผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน Q2/68

ผู้ชมทั้งหมด 279 

กลุ่มบางจาก ยืนยันพร้อมเปิดผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (SAF) ไตรมาส 2/68 ยันมีตลาดรองรับ เล็งส่งออกยุโรป มั่นใจหลังปี 2573 ความต้องการใช้ SAF เติบโตก้าวกระโดด

กลุ่มบริษัทบางจากยืนยันความพร้อมในการดำเนินงานโครงการผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel: SAF) ทั้งในด้านวัตถุดิบ เทคโนโลยี และตลาดรองรับ โดยถือเป็นผู้บุกเบิกการผลิต Neat SAF 100% รายแรกของประเทศไทย ด้วยการใช้วัตถุดิบจากน้ำมันปรุงอาหารใช้แล้ว (Used Cooking Oil: UCO) และวัตถุดิบทางเลือก (ของเหลือทิ้งจากภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการอื่นๆ) ภายใต้ระบบที่ได้รับการรับรองมาตรฐานระดับสากลจาก International Sustainability and Carbon Certification (ISCC)

นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทบางจาก และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การลงทุนในโครงการ SAF ถือเป็นก้าวสำคัญของบางจากฯ จาก ผู้นำด้านพลังงานทดแทนสู่ผู้นำพลังงานแห่งอนาคต ต่อยอดจากประสบการณ์กว่า 20 ปีในการจัดเก็บ UCO เพื่อผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพ และมีความได้เปรียบเชิงต้นทุน ด้วยการใช้ทรัพยากรและโครงสร้างพื้นฐานของโรงกลั่นเดิม ช่วยลดต้นทุนการก่อสร้างและการดำเนินงาน ณ เดือนเมษายน โครงการมีความก้าวหน้าด้านการก่อสร้างแล้วกว่า 96%

ทั้งนี้หน่วยผลิต SAF จะมีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการในวันที่ 25 เมษายน 2568 ณ โรงกลั่นน้ำมันบางจาก พระโขนง นับเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของกลุ่มบริษัทบางจากในการต่อยอดสู่ธุรกิจพลังงานแห่งอนาคต และร่วมผลักดันประเทศไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำ และคาดว่าจะสามารถเปิดเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ได้ภายในไตรมาส 2 ของปี 2568 โดยมีแผนเริ่มต้นจากการทดสอบสมรรถนะของโรงงาน (Plant Performance Test Run) และจะทยอยเพิ่มระดับการผลิต (Ramp-up) ไปสู่การดำเนินงานอย่างต่อเนื่องตามสัญญาการจำหน่ายและแนวโน้มความต้องการของตลาด ทั้งนี้ บางจากฯ ได้ลงนามในสัญญาซื้อขาย SAF กับลูกค้าหลักแล้ว และรับจ้างการกลั่น (Tolling) โดยบางส่วนจะส่งออกยุโรป อีกทั้งอยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรเพิ่มเติม

อย่างไรก็ตามแม้ในหลายประเทศยังไม่มีนโยบายบังคับผสม SAF ที่ชัดเจน โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชีย แต่ความต้องการเชื้อเพลิง SAF ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องทั่วโลก จากแรงขับเคลื่อนของเป้าหมาย Net Zero และการลดคาร์บอนในภาคการบิน ขณะเดียวกัน หลายภูมิภาค เช่น สหภาพยุโรป ได้เริ่มกำหนดเป้าหมายขั้นต่ำที่ 2% ภายในปี 2025 ซึ่งสะท้อนทิศทางที่ชัดเจนและสร้างแรงจูงใจในการลงทุน ทั้งนี้ แม้ในระยะสั้นตลาด SAF อาจยังมีปริมาณเหลืออยู่บ้าง แต่ในระยะยาวเริ่มจากปี 2030 กลับมีแนวโน้มเข้าสู่ภาวะขาดแคลน เมื่อข้อกำหนดบังคับเริ่มทยอยมีผลในหลายประเทศทั่วโลก