กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ คาดปี65 จัดเก็บรายได้กิจการปิโตรเลียมส่งรัฐกว่า 5 หมื่นลบ.

ผู้ชมทั้งหมด 495 

กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ เดินหน้าจัดหาก๊าซธรรมชาติ เสริมความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ เผยมี 4 ราย สนใจขอสิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียม รอบที่ 24  คาด ก.พ.ปี66 ได้ผู้ชนะประมูล ขณะที่ปี 65 คาดจัดเก็บรายได้กิจการปิโตรเลียมส่งรัฐกว่า 5 หมื่นลบ.

การเปลี่ยนผ่านการดำเนินงานของแปลง G1/61 (แหล่งก๊าซธรรมชาติเอราวัณ) และ แปลง G2/61 (แหล่งก๊าซธรรมชาติบงกช) จากระบบสัมปทานเป็นระบบสัญญาแบ่งปันผลผลิต เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2565 ที่ผ่านมา เป็นไปอย่างไร้รอยต่อ โดยมีอัตราการผลิตปิโตรเลียมเฉลี่ยเดือนพฤษภาคมของแปลง G1/61 อยู่ที่ประมาณ 300 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน และแปลง G2/61 อยู่ที่ประมาณ 870 ล้าน ลูกบาศก์ฟุตต่อวัน

นายสราวุธ แก้วตาทิพย์ อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ระบุว่า กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ได้กำกับดูแลและผลักดันให้บริษัท ปตท.สผ. เอนเนอร์ยี่ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (ปตท.สผ. อีดี) ในฐานะผู้รับสัญญาแบ่งปันผลผลิต(PSC) เร่งการลงทุนเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตปิโตรเลียม (Ramp up) ของแปลง G1/61 ให้เป็นไปตามเป้าหมายโดยเร็ว เพื่อรักษาความมั่นคงด้านการจัดหาพลังงานของประเทศ

นอกจากนี้ กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ได้มีแนวทางการบริหารจัดการก๊าซธรรมชาติเพื่อเพิ่มความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ ดังนี้ 1. ร่วมกับบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ในการจัดหาก๊าซธรรมชาติส่วนเพิ่ม โดยการจัดทำสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติเพิ่มเติมจากแหล่งก๊าซธรรมชาติที่มีศักยภาพ ได้แก่ แหล่งอาทิตย์ แปลง B8/32 รวมถึงแปลง B-17ในพื้นที่พัฒนาร่วมไทย – มาเลเซีย ซึ่งในปัจจุบันก๊าซธรรมชาติส่วนเพิ่มนี้ได้ทยอยเข้าระบบแล้ว ปริมาณรวม ราว 100 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน  

2. กำกับดูแลให้ผู้รับสัมปทานทุกรายเตรียมความพร้อมในการผลิตก๊าซธรรมชาติได้เต็มความสามารถตามสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติ และประสานให้เลื่อนแผนการหยุดซ่อมบำรุงที่ไม่จำเป็นออกไปเพื่อลดผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้น  

3. ในส่วนของการจัดหาก๊าซธรรมชาติในระยะยาว กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ได้ดำเนินการเกี่ยวกับการให้ยื่นขอสิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียมรอบที่ 24 ภายใต้ระบบสัญญาแบ่งปันผลผลิต บริเวณทะเลอ่าวไทยจำนวน 3 แปลง ประกอบด้วย 1. แปลงสำรวจในทะเลอ่าวไทยหมายเลข G1/65 พื้นที่ 8,487.20 ตารางกิโลเมตร 2. แปลงสำรวจในทะเลอ่าวไทยหมายเลข G2/65 มีพื้นที่ 15,030.14 ตารางกิโลเมตร 3. แปลงสำรวจในทะเลอ่าวไทยหมายเลข G3/65 มีพื้นที่ 11,646.67 ตารางกิโลเมตร

โดยหลังจากมีการออกประกาศเชิญชวนเพื่อเปิดให้ยื่นขอสิทธิฯ เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2565 กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติได้ประชาสัมพันธ์ประกาศเชิญชวนฯ ไปยังบริษัทผู้ประกอบการด้านปิโตรเลียมภายในประเทศ และสถานทูตต่างประเทศในประเทศไทย รวมทั้งขอความอนุเคราะห์จากกระทรวงการต่างประเทศในการเผยแพร่ประกาศเชิญชวนไปยังสถานทูตไทยในประเทศต่าง ๆ เพื่อเชิญชวนให้นักลงทุนในประเทศต่าง ๆ ที่สนใจให้เข้ามาสำรวจละผลิตปิโตรเลียม เพื่อเพิ่มโอกาสการลงทุนและพัฒนาทรัพยากรปิโตรเลียมในประเทศขึ้นมาใช้ประโยชน์รองรับความผันผวนด้านพลังงานที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติประสงค์ที่จะเชิญชวนให้บริษัทต่างๆทั้งในประเทศและต่างประเทศเข้ามาลงทุนโดยเข้าร่วมการประมูลยื่นขอสิทธิในการสำรวจและผลิตปิโตรเลียม รอบที่ 24  ซึ่งกรมฯ เชื่อมั่นว่ากลไกต่างๆในการบริหารสัญญาแบ่งปันผลผลิตในอนาคตโดยรัฐ จะสามารถทำให้เกิดการแข่งขันที่เป็นธรรมในการประมูลยื่นขอสิทธิฯ ครั้งนี้ได้

“ล่าสุด พบว่า มีผู้สนใจ 4 ราย เป็นต่างชาติ 2 ราย และไทย 2 ราย คาดว่าจะก่อให้เกิดเม็ดเงินลงทุนมากขั้นต่ำ 1,500 ล้านบาท จากกิจกรรมการสำรวจปิโตรเลียม และหากมีการค้นพบปิโตรเลียมที่มีสมรรถนะเชิงพาณิชย์ ก็จะเกิดเม็ดเงินลงทุนในการพัฒนาถึงหลักหมื่นล้านบาทได้ คาดประกาศผลผู้ชนะได้เดือน ก.พ.ปี66” นายสราวุธ กล่าว

สำหรับปีงบประมาณ 2565 (เดือนตุลาคม 2564 – มีนาคม 2565) กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติจัดเก็บรายได้จากการประกอบกิจการปิโตรเลียม ประกอบด้วย ค่าภาคหลวงปิโตรเลียม SRB และรายได้จากพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย และค่าตอบแทนในการต่อระยะเวลาการผลิต รวมทั้งสิ้น 27,635.80 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วจำนวน 3,161.35 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.92

ส่วนการจัดเก็บรายได้ระหว่างเดือนเมษายน – กันยายน 2565 ซึ่งจะรวมรายได้จากแปลงที่ดำเนินการในระบบสัมปทาน และแปลงที่ดำเนินการในระบบสัญญาแบ่งปันผลผลิต (รายได้ประกอบด้วยค่าภาคหลวง  ส่วนแบ่งกำไร และค่าตอบแทนการใช้สิ่งติดตั้งของรัฐ) โดยคาดว่าจะมีรายได้จากทั้ง 2 ระบบ รวมทั้งสิ้น 25,653 ล้านบาท ส่งผลให้ปีนี้ คาดว่า การจัดเก็บรายได้จากการประกอบกิจการปิโตรเลียม จะแตะระดับ 50,000 ล้านบาท สูงกว่าปี 2564 ที่จัดเก็บฯได้ราว 30,000 ล้านบาท เนื่องจากราคาน้ำมันและก๊าซฯ ปรับสูงขึ้น