ผู้ชมทั้งหมด 2,205
กฟผ. เปิดตลาดจำหน่ายฮิวมิค วัตถุพลอยได้จากการทำเหมืองแม่เมาะ ส่งเสริมระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน สนับสนุนเกษตรกรเข้าถึงผลิตภัณฑ์ช่วยเพิ่มผลผลิต ลดค่าใช้จ่าย สร้างความยั่งยืนในภาคเกษตรกรรม จ.ลำปาง
เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2566 นายบุญญนิตย์ วงศ์รักมิตร ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร กฟผ. ร่วมพิธีส่งมอบวัตถุพลอยได้จากการทำเหมืองแม่เมาะ (ฮิวมิค) ให้แก่ผู้ซื้อ พร้อมให้ข้อมูลคุณสมบัติเชิงลึกและประโยชน์ของฮิวมิค เพื่อสนับสนุนชุมชนและเกษตรกรให้เข้าถึงผลิตภัณฑ์ฮิวมิคในราคาย่อมเยา ณ กฟผ. แม่เมาะ จ.ลำปาง
นายบุญญนิตย์ วงศ์รักมิตร ผู้ว่าฯ กฟผ. เปิดเผยว่า การทำเหมือง กฟผ. แม่เมาะ จำเป็นต้องเปิดหน้าดินที่ปิดทับถ่านหินลิกไนต์ออก และนำไปทิ้งยังพื้นที่ที่กำหนดไว้ ซึ่งจากการศึกษาวิจัยพบว่า หน้าดินดังกล่าวมีชั้นลีโอนาร์ไดต์ (Leonardite) ซึ่งเป็นชั้นดินที่มีอินทรีย์วัตถุสำคัญแทรกอยู่ คือสารประกอบฮิวมิค (กรดฮิวมิค กรดฟูลวิค และฮิวมิน) สามารถนำมาใช้ประโยชน์ทางการเกษตรกรรมได้หลากหลาย เช่น ใช้ปรับปรุงดินที่เสื่อมสภาพให้เหมาะสมต่อการเพาะปลูก กฟผ. ได้ศึกษาวิจัยกระบวนการคัดแยกสิ่งเจือปนออกจากลีโอนาร์ไดต์ เพื่อให้มีความปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อม และพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ฮิวมิคแบบน้ำเป็นผลพลอยได้ (By Product) ซึ่งมีคุณสมบัติที่ดีหลายประการ โดยเฉพาะอินทรียวัตถุที่มีปริมาณสูง มีธาตุอาหารจำเป็นต่อการเจริญเติบโตของพืชหลายชนิด
นอกจากนี้ จากการวิจัยพบว่า ปริมาณธาตุโลหะหนักทุกชนิดมีค่าดีกว่าเกณฑ์มาตรฐานสามารถใช้เป็นส่วนผสมของวัสดุปรับปรุงดิน การบำบัดน้ำเสีย หรือใช้กับอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องได้
กฟผ. ได้ทดลองตลาดจำหน่ายฮิวมิคแบบน้ำครั้งแรก กว่า 10,000 ลิตร ในราคาลิตรละ 25 บาท ได้รับความสนใจเป็นจำนวนมาก เกินกว่าปริมาณที่ กฟผ. เสนอขาย การเปิดขายในรอบแรกนี้ได้จัดสรรให้แก่ผู้ซื้อจำนวน 26 ราย โดย กฟผ. ได้ทยอยส่งมอบตั้งแต่วันที่ 9 สิงหาคม 2566 เป็นต้นมา
ทั้งนี้ กฟผ. แม่เมาะ ได้ตั้งโรงงานต้นแบบสำหรับผลิตฮิวมิคแบบน้ำความเข้มข้น 3-5% มีขนาดกำลังผลิตประมาณ 32,000 ลิตรต่อเดือน และยังมีศักยภาพที่จะขยายกำลังผลิตได้มากกว่า100,000 ลิตรต่อเดือน
สำหรับการผลิตฮิวมิค ถือเป็นการใช้วัตถุพลอยได้หรือของที่ต้องทิ้งจากการทำเหมืองให้เกิดประโยชน์ และเพิ่มมูลค่าได้ตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) จำหน่ายในราคาย่อมเยาเมื่อเปรียบเทียบกับราคาขายทั่วไปในท้องตลาดสอดรับกับปริมาณความต้องการใช้งานฮิวมิคทั่วโลกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นปีละมากกว่า 10% ขณะที่ประเทศไทยมีการนำฮิวมิคมาใช้อย่างแพร่หลายเพิ่มมากขึ้น จึงถือเป็นการช่วยเหลือชุมชน เกษตรกร ให้เข้าถึงผลิตภัณฑ์ที่ช่วยเพิ่มผลผลิต และลดค่าใช้จ่ายในการทำเกษตรกรรมลงได้มาก