ผู้ชมทั้งหมด 673
กฟผ. ยันเดินเครื่องผลิตไฟฟ้าจากต้นทุนต่ำที่สุดก่อน ขณะที่ปริมาณการซื้อไฟฟ้าเอกชนในราคา 6.11 – 9.85 บาท/หน่วย แค่ 7% ชี้ยึดหลักกระทบกับประชาชนน้อยที่สุด และรักษาเสถียรภาพระบบไฟฟ้าให้มีประสิทธิภาพ
นายประเสริฐศักดิ์ เชิงชวโน รองผู้ว่าการยุทธศาสตร์ ในฐานะโฆษกการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เปิดเผยถึงการดูแลผลกระทบประชาชนเรื่องค่าไฟฟ้าว่า กฟผ. ใช้หลักการบริหารจัดการเดินเครื่องเพื่อผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าที่มีต้นทุนเชื้อเพลิงราคาต่ำที่สุดก่อน จนถึงเชื้อเพลิงที่มีต้นทุนสูงขึ้นตามลำดับ โดยเงื่อนไขการสั่งเดินเครื่องโรงไฟฟ้า กฟผ. ต้องปฏิบัติตาม พรบ. การประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ.2550 เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและไม่เลือกปฏิบัติ
สำหรับค่าไฟฟ้างวดเดือน ม.ค. – เม.ย. 66 กฟผ. ได้สั่งการเดินเครื่องโรงไฟฟ้าทั้งของ กฟผ. และเอกชน โดยพิจารณาจากต้นทุนเชื้อเพลิงต่ำที่สุด ที่มีราคาซื้อไฟฟ้าตั้งแต่ 2 บาท/หน่วย ไปจนถึง 9.85 บาท/หน่วย ซึ่งปริมาณการซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าเอกชนในราคา 6.11 – 9.85 บาท/หน่วย มีปริมาณน้อยมาก คิดเป็นร้อยละ 7 เท่านั้น เมื่อนำมาเฉลี่ยกับโรงไฟฟ้าอื่นที่มีต้นทุนต่ำกว่าแล้ว จึงทำให้ค่าไฟฟ้างวดเดือน ม.ค. – เม.ย. 66 อยู่ที่ราคา 4.72 บาท/หน่วย
โดยการซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าเอกชนในราคา 6.11 – 9.85 บาท/หน่วย เป็นการผลิตไฟฟ้าด้วยน้ำมันดีเซล ซึ่งมีราคาถูกกว่าการผลิตไฟฟ้าด้วย Spot LNG ที่ราคา 7.91 – 11.36 บาท/หน่วย ดังนั้นคณะอนุกรรมการบริหารจัดการรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินด้านพลังงาน จึงได้พิจารณาให้เดินเครื่องโรงไฟฟ้าด้วยน้ำมันดีเซล แทนการผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงนำเข้า Spot LNG ทั้งนี้ในช่วงที่มีสถานการณ์พลังงานปกติ อ้างอิงจากค่าไฟฟ้างวดเดือน ม.ค. – เม.ย. 64 ค่าซื้อไฟฟ้าเฉลี่ยจาก 5 โรงไฟฟ้านี้ จะเท่ากับ 2.94 บาท/หน่วยเท่านั้น
“ขอให้ประชาชนเชื่อมั่นว่า กฟผ. บริหารจัดการเดินเครื่องผลิตไฟฟ้าอย่างมีหลักการ เพื่อให้ประชาชนได้รับผลกระทบจากค่าไฟฟ้าน้อยที่สุด” รองผู้ว่าการ ฯ กฟผ. กล่าว