ผู้ชมทั้งหมด 984
กบง. ลดส่วนผสมดีเซลบี10 และบี7 เหลือ บี6 เริ่ม 11-31 ต.ค.นี้ ควัก 3 พันล้านบาท อุ้มราคาเหลือ 28.29บ.ต่อลิตร ขณะที่พรุ่งนี้(5ต.ค.64) นำร่องลดราคาดีเซล(บี7) ลง 1 บาทต่อลิตร พร้อมขยายตรึงราคา LPG ถัง 15 กก.เหลือ 318 บาท ถึง ม.ค.65
การประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) วันนี้(4 ต.ค.2564) ที่มีนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธาน ได้พิจารณามาตรการบรรเทาผลกระทบค่าครองชีพให้กับประชาชน อันเนื่องมาจากสถานการณ์ราคาพลังงานปรับตัวสูงขึ้น ตามทิศทางสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ส่งผลกระทบไปยังต้นทุนราคาพลังงานในหลายประเทศทั่วโลก
นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวว่า กบง.มีมติปรับลดการจัดเก็บเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในส่วนของน้ำมันดีเซล(บี7)ลงจากเดิมจัดเก็บ 1 บาทต่อลิตร เหลือจัดเก็บ 1 สตางค์ต่อลิตร โดยมีผลตั้งแต่เวลา 05.00น.ของวันที่ 5 ต.ค.2564 เป็นต้นไป ซึ่งจะส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล(บี7) ปรับลดลงจาก 31.29 บาทต่อลิตร เหลือ 30.29 บาทต่อลิตร
รวมถึง ให้ปรับลดสัดส่วนการผสมน้ำมันไบโอดีเซล(บี100) ในน้ำมันดีเซลพื้นฐาน(บี10) และดีเซล(บี7)จากเดิมผสม 10% และผสม 7% เหลือสัดส่วนการผสมในน้ำมันดีเซลทั้ง 2 เกรดดังกล่าว เหลือเพียงการผสมในสัดส่วน 6% หรือ ดีเซล(บี6) เป็นการชั่วคราวเท่านั้น โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 11-31 ต.ค.นี้ ซึ่งจะส่งผลให้ประเทศเหลือการจำหน่ายน้ำมันดีเซล หน้าสถานีบริการ(ปั๊ม)น้ำมัน เพียง 2 เกรดเท่านั้น คือ น้ำมันดีเซล(บี6 และบี20)
ทั้งนี้ เพื่อเป็นการลดผลกระทบจากราคาไบโอดีเซล(บี 100) ที่มีราคาแพง ปัจจุบันอยู่ที่ ประมาณ 40 บาทต่อลิตร ซึ่งการปรับลดสัดส่วนการผสมเหลือบี6 จะทำให้ความต้องการใช้ไบโอดีเซล จะหายไปประมาณ 1 ล้านลิตรต่อวัน เหลือใช้อยู่ที่ 3 ล้านลิตรต่อวัน จากปัจจุบันใช้อยู่ที่ 4 ล้านลิตรต่อวัน และยังช่วยพยุงราคาขายปลีกดีเซล ไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร
อีกทั้ง กบง.ยังมีมติให้ปรับลดค่าการตลาดน้ำมันดีเซล(บี 10) จากเดิมอยู่ที่ 1.80 บาทต่อลิตร เหลือ 1.40 บาทต่อลิตร ซึ่งจะเป็นการดูแลให้ราคาดีเซล อยู่ที่ประมาณ 28.29 บาทต่อลิตร จากปัจจุบันหากคำนวนราคาดีเซล(บี 6) จะมีต้นทุนอยู่ที่ประมาณ 30.12 บาทต่อลิตร เท่ากับว่า กองทุนน้ำมันฯจะเข้าไปชดเชยส่วนต่างราคาดีเซล(บี6) ประมาณ 2.08 บาทต่อลิตร เพื่อรักษาราคาขายปลีกให้อยู่ที่ 28.29 บาทต่อลิตร ในช่วงวันที่ 11-31 ต.ค.นี้ หรือใช้เงินกองทุนน้ำมันฯเข้าไปดูแล ประมาณ 3,000 ล้านบาท ซึ่งการดูแลราคาน้ำมันดีเซลดังกล่าว เป็นการคำนวณจากราคาน้ำมันดิบตลาดโลก ที่ระดับ 75.66 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และจะดูแลได้กระทั่งราคาน้ำมันดิบขึ้นไปแตะระดับ 85 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เพื่อไม่ให้ราคาขายปลีดดีเซล ทะลุ 30 บาทต่อลิตร
“ตอนนี้ กองทุนน้ำมันฯมีเงินอยู่ 11,000 ล้านบาท ยังเพียงพอที่จะดูแลเสถียรภาพราคาน้ำมันดีเซล ในระยะสั้น ซึ่งในระยะยาวหากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกยังสูงขึ้นไปอีก ก็จะมีการออกมาตรการดูแลที่เข้มข้นต่อไป ขอให้ผู้ใช้น้ำมันสบายใจได้”
นอกจากนี้ ในส่วนของราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว(LPG)ครัวเรือน ที่ปัจจุบัน กบง.มีมติเดิมให้ตรึงราคาถังขนาด 15 กิโลกรัม อยู่ที 318 บาท ไปจนถึงสิ้นเดือนธ.ค.นี้ ก็มีความเห็นว่าควรขยายระยะเวลาดูแลราคาออกไปอีก 1 เดือน จนถึงสิ้นเดือนม.ค.2565 แม้ว่ากรอบวงเงินที่ดูแลLPG ที่ให้ไว้ 18,000 ล้านบาทจะใกล้เต็มวงเงินแล้ว หรือ ต้องใช้เงินประมาณ 1,400 ล้านบาทต่อเดือนเพื่อดูแลราคา LPG นั้น ทางกระทรวงพลังงาน ก็อยู่ระหว่างการหารือกับ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) เพื่อขอใช้เงินกู้บางส่วน จากพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคม จากการระบาดของโควิด-19 เข้ามาดูแลราคา LPG ต่อ ขณะเดียวกันก็มอบหมายให้ สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) เตรียมพิจารณาเรื่องการกู้เงินของกองทุนน้ำมันฯ รองรับในกรณีที่เกิดวิกฤตราคาน้ำมันไว้ด้วย ซึ่งตามกฎหมายเปิดช่องให้กองทุนน้ำมันฯกู้เงินได้ไม่เกิน 20,000 ล้านบาท
นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวว่า กระทรวงพลังงาน ยังได้มอบหมายให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) และบริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน) หรือ PTT ได้ศึกษาการจัดหาเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้าที่มีต้นทุนถูกกว่าราคาก๊าซฯ เพื่อรับมือกรณีราคา Spot LNG ปรับขึ้นสูงขึ้น เพื่อลดผลกระทบค่าไฟฟ้าในระยะยาว แม้ว่าปัจจุบันคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน(กกพ.) จะมีมติตรึงค่าไฟฟ้าอัตโนมัติผันแปร(Ft)ไปจนถึงสิ้นปีนี้ก็ตาม
ส่วนมาตรการส่วนลดค่าไฟฟ้าให้กับผู้ใช้ไฟฟ้ารายย่อยที่สุดสิ้นอายุมาตรการลงไปแล้วนั้น จะมีการขยายอายุมาตรการต่อหรือไม่ ทางกระทรวงพลังงาน อยู่ระหว่างหารือกับ สศช.เพื่อพิจาณาความเหมาะสมในการจัดหางบประมาณมาดูแล ก็คาดว่าจะมีความชัดเจนในเร็วๆนี้
“สถานการณ์ตอนนี้ดีขึ้น การส่งออกดี การอุปโภคบริโภคดี มาตรคลี่คลายก็มีชัดเจนขึ้น ความเป็นห่วงเรื่องการเจริญเติบโตก็มี ไตรมาส3 ที่ได้รับผลกระทบมากหน่อย แต่ไตรมาส 4 ผมคิดว่าดีขึ้นมาก ก็น่าจะส่งผลบวก และการเจริญเติบโตทั้งปีนี้ ก็น่าจะเป็นบวก”