“ไทยออยล์”จับตา7ประเด็นกระทบราคาน้ำมันดิบสัปดาห์นี้

ผู้ชมทั้งหมด 1,864 

นักวิเคราะห์บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) ได้ประเมินราคาน้ำมันดิบตลาดโลกในสัปดาห์นี้ (2-6 ส.ค. 64) ทรงตัวในระดับสูง โดยคาดราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสในสัปดาห์นี้จะเคลื่อนไหวที่กรอบ 71-76 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันดิบเบรนท์เคลื่อนไหวที่กรอบ 73-78 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล

ราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มทรงตัวในระดับสูงต่อเนื่อง หลังตลาดน้ำมันมีแนวโน้มตึงตัวเนื่องจากความต้องการใช้น้ำมันที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นมากกว่าปริมาณการผลิตที่เพิ่มขึ้นจากกลุ่มโอเปกและประเทศพันธมิตร นอกจากนี้ ราคายังได้รับแรงหนุนจากปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มปรับลดลงต่อเนื่องเนิองจากความต้องการใช้ที่เติบโตขึ้นและปริมาณการนำเข้าน้ำมันดิบที่อยู่ในระดับจำกัด

ปัจจัยสำคัญที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันในสัปดาห์นี้

1.ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ มีแนวโน้มปรับตัวลดลง หลังโรงกลั่นในสหรัฐฯ คาดจะคงกำลังการผลิตในระดับสูงต่อเนื่องเพื่อรองรับความต้องการใช้น้ำมันที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในช่วงฤดูกาลขับขี่ โดยสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐฯ (EIA) รายงานปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ สำหรับสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 23 ก.ค. ปรับลดลง 4.0 ล้านบาร์เรลมาอยู่ที่ระดับ 435.6 ล้านบาร์เรล ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะปรับลดลง 2.9 ล้านบาร์เรล และนับเป็นระดับที่ต่ำสุดตั้งแต่ ม.ค. 63 ขณะที่ปริมาณน้ำมันดิบคงคลัง ณ จุดส่งมอบคุชชิ่ง โอกลาโฮมา ปรับลดลง 1.27 ล้านบาร์เรลสู่ระดับ 35.4 ล้านบาร์เรล ซึ่งนับเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน ม.ค. 63 เช่นกัน

2.ตลาดน้ำมันดิบยังคงมีแนวโน้มตึงตัวต่อเนื่อง หลังความต้องการใช้น้ำมันมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นสูงกว่าปริมาณการผลิตที่เพิ่มขึ้นจากกลุ่มโอเปกพลัสซึ่งมีมติปรับเพิ่มปริมาณการผลิตขึ้นเพียงเดือนละ 4 แสนบาร์เรลต่อวัน ตั้งแต่เดือน ส.ค.64 เป็นต้นไปจนกว่าระดับการผลิตที่ทางกลุ่มมีการปรับลดตั้งแต่ต้นปี 64 จะหมดลงในเดือน ก.ย. 65  ซึ่งน้อยกว่าความต้องการใช้น้ำมันที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ทางกลุ่มผู้ผลิตจะมีการประชุมครั้งถัดไปเพื่อพิจารณาปริมาณการผลิตอีกครั้งในการประชุมวันที่ 1 ก.ย. 64

3.การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลต้ายังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นและส่งผลกดดันต่อตลาดน้ำมันอย่างต่อเนื่อง โดยจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่ทั่วโลกยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้น นำโดยแถบเอเชียตะวันออกเฉียง และประเทศในแถบยุโรปที่แม้ว่าจะมีความคืบหน้าของการฉีดวัคซีนแล้วอย่างมาก ส่งผลให้รัฐบาลหลายประเทศ ยังคงใช้มาตรการจำกัดการเดินทางเพื่อควบคุมการระบาดของเชื้อสายพันธุ์ดังกล่าว โดยล่าสุด สหรัฐฯ ยังคงจำกัดการเดินทางข้ามประเทศ โดยไม่ให้เดินทางข้ามประเทศไปยังทวีปยุโรปและอังกฤษ เนื่องจากการปรับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่

4.อุปทานน้ำมันดิบสหรัฐฯ มีแนวโน้มปรับเพิ่มสูงขึ้นเล็กน้อย หลังผู้ผลิตในสหรัฐฯ ปรับเพิ่มการขุดเจาะน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติขึ้นต่อเนื่องในช่วง 11 เดือนที่ผ่านมา เนื่องจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องสูงกว่าระดับ 70 เหรียญสหรัฐฯ ต่อ บาร์เรล โดย Baker Hughes รายงานแท่นขุดเขาะน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติสหรัฐฯ สำหรับสัปดาห์สิ้นสุด ณ วันที่ 23 ก.ค. อยู่ที่ระดับ 488 แท่น ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่า 94% จากปีก่อนหน้าที่ระดับ 237 แท่น  

5.ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ มีแนวโน้มทรงตัวและคาดว่าจะไม่ส่งผลกดดันต่อราคาน้ำมันดิบ หลังธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 0.0 – 0.25% และมาตรการเข้าซื้อสินทรัพย์รวมทั้งสิ้น 1.2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อ เดือน ในการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ในวันที่ 27-28 ก.ค. ที่ผ่านมา จนกว่าตลาดแรงงานจะฟื้นตัวขึ้นสู่ระดับเป้าหมายการจ้างงานที่มีศักยภาพ ขณะที่ FED ประเมินว่าอัตราเงินเฟ้อที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมาเป็นผลมาจากการเปลี่ยนผ่านทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ภาพรวมอัตราเงินเฟ้อในระยะยาวยังต่ำกว่าเป้าหมายที่ระดับ 2%

6.การเจรจาข้อตกลงนิวเคลียร์ระหว่างอิหร่านและ 6 ประเทศมหาอำนาจยังคงไม่มีความคืบหน้าจนกว่าประธานาธิบดีคนใหม่ของอิหร่านจะมาดำรงตำแหน่งอย่างเป็นทางการในวันที่ 3 ส.ค. 64 ล่าสุดทั้งสองฝ่ายยังคงมีความเห็นไม่ตรงกันในหลายประเด็น อาทิเช่น ปัญหาเรื่องความไม่สงบในตะวันออกกลาง และความกังวลของอิหร่านว่าสหรัฐฯ อาจจะมีการกลับมาใช้มาตรการคว่ำบาตรอีกครั้งในอนาคต หากมีการเปลี่ยนแปลงเช่นที่เกิดขึ้นในปี 2561

7.เศรษฐกิจที่น่าติดตามในสัปดาห์นี้ ได้แก่ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคอุตสาหกรรมจีน เดือน ก.ค. 64 ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการยูโรโซน เดือน ก.ค. 64 และดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการสหรัฐฯ เดือน ก.ค. 64 และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานสหรัฐฯ