“บีซีพีจี” มั่นใจพร้อมขายไฟฟ้าจากลาวไปเวียดนามเดือนกันยายนนี้ 

ผู้ชมทั้งหมด 697 

บีซีพีจี เผย เดือนกันยายนนี้ บริษัทฯ สามารถขายไฟฟ้าจาก 2 โรงไฟฟ้าพลังน้ำใน สปปลาวไปยังเวียดนามได้แน่นอน จากการก่อสร้างโครงการระบบสายส่งไฟฟ้าจาก สปป.ลาวไปเวียดนามคืบหน้าไปกว่าร้อยละ 90

นายนิวัติ อดิเรก ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ขณะนี้การก่อสร้างโครงการระบบสายส่งไฟฟ้า Nam Tai ขนาด 220 กิโลโวลต์ ในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว(สปป.ลาว) เพื่อเชื่อมต่อกับระบบสายส่งไฟฟ้าของการไฟฟ้าแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม (Vietnam Electricity -EVN)  มีความคืบหน้าไปกว่าร้อยละ 90 ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จและสามารถส่งกระแสไฟฟ้าที่ผลิตได้จากโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำของบริษัทฯ ใน สปป.ลาว ทั้ง 2 แห่ง คือ Nam San 3A และ Nam San 3B ไปขายยังเวียดนามได้ในเดือนกันยายนนี้

“สายส่ง Nam Tai จะเชื่อมต่อระหว่างทางเหนือของลาวไปยังชายแดนทางเหนือของเวียดนาม โดยสายส่งเส้นนี้สามารถรองรับการจำหน่ายไฟฟ้าจากเขื่อนใน สปป.ลาว ไปยังเวียดนามได้ถึง 800 เมกะวัตต์   โดยในระยะแรกสายส่งจะให้บริการส่งไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าพลังน้ำของบีซีพีจีทั้ง 2 แห่ง กำลังการผลิต 114 เมกะวัตต์ก่อน  เนื่องจากเป็นโรงไฟฟ้าพลังน้ำที่มีความพร้อมเรื่องสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าเวียดนาม และระยะถัดไปก็จะเริ่มให้บริการกับโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนในบริเวณใกล้เคียง ใน สปป.ลาวที่อยู่ตามแนวสายส่งเส้นนี้  โดยปัจจุบันหลายแห่งอยู่ระหว่างการก่อสร้างซึ่งมีทั้งที่ได้รับสัญญาซื้อขายไฟฟ้า กับ การไฟฟ้าเวียดนาม (EVN) เรียบร้อยแล้ว และกำลังอยู่ในระหว่างดำเนินการ” นายนิวัติกล่าว

ทั้งนี้ บริษัทฯ โดย บริษัท บีซีพีจี อินโดไชน่า จำกัด ได้ลงทุนในสายส่ง Nam Tai โดยได้ลงนามในสัญญาซื้อขายหุ้นกับ Nam Tai Power Sole จำกัด (Nam Tai) เรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2564 

สำหรับหนี้การค้าที่บริษัทฯ มีคงค้างกับการไฟฟ้าสปป.ลาว บริษัทฯ มีแนวทางที่จะเปลี่ยนหนี้ที่คงค้างให้เป็นสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้แทน  ซึ่งจะได้ประโยชน์ทั้งการรับชำระเงินที่เร็วขึ้นและสร้างรายได้ให้บริษัทฯ ในอนาคต 

“ปัจจุบันบริษัทฯ ได้บรรลุข้อตกลงในการใช้หนี้ค้างชำระเดิมจำนวนหนึ่ง ชำระเป็นเงินลงทุนในสายส่ง Nam Tai ข้างต้นแล้ว ในส่วนของหนี้คงค้างจำนวนที่เหลือ บริษัทฯ มีเป้าหมายจะดำเนินการในลักษณะเดียวกันคือแปลงหนี้ที่คงค้างให้เป็นสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้แทน” นายนิวัติกล่าวเพิ่มเติม