ผู้ชมทั้งหมด 1,302
ก.ล.ต.อนุมัติคำขอเสนอขายหุ้น IPO ของ OR ไม่เกิน 3,000 ล้านหุ้น รองรับการลงทุนในช่วงปี 64-67 ขยายเครือข่ายสถานีบริการน้ำมัน “PTT Station” ให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ ขยายธุรกิจการตลาดพาณิชย์ในกลุ่มธุรกิจน้ำมัน รวมทั้งรองรับการลงทุนในต่างประเทศ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) อนุมัติแบบคำขอเสนอขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) ของบริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT โดยจะเสนอขายหุ้น IPO ไม่เกิน 3,000 ล้านหุ้น พาร์หุ้นละ 10 บาท คิดเป็นสัดส่วนไม่เกิน 25% ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET)
หลังจากที่ ก.ล.ต.อนุมัติแบบคำขอดังกล่าวแล้ว OR มีสิทธิจะเสนอขายหุ้น IPO ได้ภายใน 6 เดือนและต่ออายุได้อีก 6 เดือน โดยหลังจากนี้จะเข้าสู่กระบวนการทำการตลาดและตรวจสอบราคา รวมถึงการนำเสนอข้อมูลการลงทุน (โรดโชว์) เพื่อประเมินราคาเสนอขายหุ้นที่เหมาะสม แต่การเสนอขายหุ้นยังต้องรอดูสภาวะตลาดในช่วงเวลาดังกล่าวด้วย
ทั้งนี้การเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน IPO ไม่เกิน 3,000 ล้านหุ้นของ OR ในครั้งนี้ แบ่งเป็น เสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนเป็นจำนวนไม่เกิน 2,700 ล้านหุ้น (ไม่รวมจำนวนหุ้นส่วนเกินสำหรับการให้สิทธิซื้อหุ้นส่วนเกิน) โดย OR จะจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนไม่เกิน 300 ล้านหุ้น เพื่อเสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของ PTT จัดสรรตามสัดส่วนการถือหุ้นเพื่อรักษาสิทธิ (Pre-emptive Rights) และจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนไม่เกิน 2,400 ล้านหุ้นเสนอขายประชาชนทั่วไป ขณะที่จะจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนไม่เกิน 300 ล้านหุ้นรองรับการใช้สิทธิจัดสรรหุ้นเกินกว่าจำนวนที่เสนอขาย (หากมีการใช้สิทธิ)
ขณะที่ PTT จะยังคงเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ OR ด้วยการถือหุ้นในสัดส่วนไม่น้อยกว่า 75% ของจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดที่ออกและจำหน่ายได้แล้ว สำหรับที่ปรึกษาทางการเงินของ OR ได้แก่ บล.ฟินันซ่า ,บล.เกียรตินาคินภัทร ,บล.บัวหลวง ,บล.กสิกรไทย และ บล.ทิสโก้
วัตถุประสงค์ในการระดมทุนของ OR ครั้งนี้จะรองรับการใช้เงินในช่วงปี 64-67 เพื่อขยายเครือข่ายสถานีบริการน้ำมันภายใต้แบรนด์ “PTT Station” ให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ที่มีศักยภาพ, ขยายธุรกิจสำหรับการตลาดพาณิชย์ในกลุ่มธุรกิจน้ำมัน, การลงทุนคลังเก็บผลิตภัณฑ์และศูนย์กระจายสินค้าธุรกิจน้ำมัน, ขยายเครือข่ายร้านค้าปลีกให้สอดคล้องกับการเติบโตของอุปสงค์ในตลาด, การลงทุนในธุรกิจต่างประเทศ และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ หรือใช้ชำระคืนเงินกู้ยืม